แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อ. ครูประจำชั้นของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนของจำเลยมีส่วนประมาทเลินเล่อในการดูแลความปลอดภัยของโจทก์โดยละเลยไม่รีบนำโจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษาดวงตา หลังจากทราบว่าโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้าย ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวน่าเชื่อว่ามีส่วนทำให้ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ติดเชื้อ โดย ว. จักษุแพทย์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า หากดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ไม่ติดเชื้อก็อาจจะไม่ถึงขนาดสูญเสียการมองเห็น เมื่อโจทก์นำสืบรับฟังได้ว่า โจทก์ต้องสูญเสียการมองเห็นในเวลาต่อมาตามใบรับรองแพทย์ โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น เช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดในผลของความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 420
โจทก์มิได้นำสืบในรายละเอียดของค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าเจ็บป่วยต้องทนทุกขเวทนาและกระทบกระเทือนจิตใจที่สูญเสียดวงตาข้างซ้าย กับค่าสูญเสียดวงตาในการทำมาหาเลี้ยงชีพตามที่โจทก์เรียกมาในคำฟ้องแต่ละจำนวน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายและมีค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับที่โจทก์เรียกมาในคำฟ้อง ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่เวลาที่ทำละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 206 ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันถัดจากวันฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษาเรื่องดอกเบี้ยให้เป็นไปตามที่โจทก์ขอมาในคำฟ้องฎีกา
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2005/2556 แต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำสั่งศาลชั้นต้น คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 5,650,343.20 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 5,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,003,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555) จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความ 5,000 บาท แทนโจทก์และชำระค่าธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับการยกเว้นต่อศาลในนามของโจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยต้องรับผิดในเหตุที่นางสาวอำพร ครูประจำชั้น เจ้าหน้าที่ของจำเลยละเลยไม่พาโจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษาทันทีหลังจากโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้ายหรือไม่ ตามทางนำสืบของคู่ความฟังได้ในเบื้องต้นว่า วันเกิดเหตุหลังจากโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้ายได้รับบาดเจ็บเมื่อเวลาประมาณ 10 นาฬิกาแล้ว นางสาวอำพร และนางสาวเครือมาศเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่ได้พาโจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษาทันที รวมทั้งมิได้แจ้งเหตุให้ผู้ปกครองของโจทก์ทราบ เป็นเหตุให้โจทก์ไปพบแพทย์ภายหลังเกิดเหตุแล้ว 5 ถึง 6 ชั่วโมง ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงมีข้อต้องพิจารณาต่อไปว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าว ถือว่าเป็นการไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการดูแลโจทก์จนเป็นเหตุให้ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์มองไม่เห็นตามใบรับรองแพทย์หรือไม่ ซึ่งในการพิจารณาปัญหาดังกล่าว จำต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่านางสาวอำพรและนางสาวเครือมาศรู้ตั้งแต่แรกหรือไม่ว่า โจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้าย เห็นว่า ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่มีความละเอียดอ่อนและอาจเกิดอันตรายร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้โดยง่าย นายณัฐวัฒน์ จักษุแพทย์โรงพยาบาลตากสินผู้ตรวจรักษาโจทก์ได้มาเป็นพยานโจทก์เบิกความประกอบแบบใบแสดงความเห็นของแพทย์ว่า วันเกิดเหตุพยานได้ตรวจรักษาโจทก์ พบว่าโจทก์มีบาดแผลฉีกขาดที่ตาดำข้างซ้ายขนาด 4 ถึง 5 มิลลิเมตร และกระจกตาทะลุ พยานจึงเย็บซ่อมกระจกตาดำให้โจทก์ ขณะนั้นพยานยังไม่สามารถประเมินได้ว่า โจทก์จะสูญเสียการมองเห็นหรือไม่ ตามคำเบิกความของจักษุแพทย์ผู้ตรวจรักษาโจทก์ แสดงให้เห็นว่า ในวันเกิดเหตุโจทก์ได้รับอันตรายอย่างร้ายแรงที่ดวงตาข้างซ้าย ถึงขนาดกระจกตาฉีกขาดและทะลุ จึงเชื่อได้ตามที่นางสาวดาราบุตรพยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุขณะที่พยานไปรับโจทก์ที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ เมื่อเวลา 14.45 นาฬิกา นั้น โจทก์มีอาการตาแดงที่ดวงตาข้างซ้ายอย่างมากจริง แม้นายณัฐวัฒน์ จักษุแพทย์ผู้ตรวจรักษาโจทก์จะเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า โดยทั่วไปแล้วเป็นการยากที่จะมองเห็นบาดแผลที่กระจกตาของโจทก์ก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดี นางสาวอำพรก็ควรจะสังเกตเห็นความผิดปกติที่ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ซึ่งได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง เช่นเดียวกับนางสาวดาราบุตรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้จะปรากฏตามทางพิจารณาว่า ขณะเกิดเหตุนางสาวอำพรไม่เห็นเหตุการณ์ที่โจทก์ถูกทำร้ายแต่นางสาวอำพรพยานจำเลยเบิกความยอมรับว่า ขณะเกิดเหตุ พยานได้ยินเสียงเด็กนักเรียนในห้องซึ่งน่าจะหมายถึงโจทก์ร้องไห้เสียงดังมาก พยานจึงเรียกมาสอบถาม หากโจทก์นิ่งไม่ตอบ ก็ไม่น่าเชื่อว่า นางสาวอำพรจะไม่ซักไซ้ไล่เลียงโจทก์จนได้ความชัดว่า โจทก์ร้องไห้เพราะเหตุอันใด และนางสาวอำพรในฐานะครูอนุบาลก็ควรจะรู้ดีด้วยประสบการณ์ว่าโจทก์ร้องไห้เสียงดังตามประสาเด็กเล็กเพราะได้รับบาดเจ็บ ประกอบกับขณะนั้นโจทก์น่าจะได้รับความเจ็บปวดที่ตาข้างซ้ายอย่างมากและควรจะมีอาการระคายเคืองตา มีน้ำตาไหล ซึ่งนางสาวอำพรก็ควรจะสังเกตเห็นได้เช่นเดียวกัน แม้จะปรากฏว่าโจทก์มิได้นำเพื่อนๆ ของโจทก์มาเบิกความสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวข้างต้น แต่ตามรูปคดีก็มีเหตุผลน่าเชื่อตามที่โจทก์เบิกความว่า หลังจากถูกทำร้ายโจทก์ได้พูดให้เพื่อนๆ ฟัง เพื่อนๆ จึงพาโจทก์ไปบอกครูอำพรหรืออีกนัยหนึ่งไปฟ้องครูนั่นเอง ซึ่งเป็นวิสัยของเด็กเล็กในวัยนั้นพึงกระทำและในการฟ้องครูดังกล่าว เพื่อนๆ ของโจทก์ก็น่าจะระบุด้วยว่าโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้าย นางสาวอำพรควรจะรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้จึงมีน้ำหนักและเหตุผลน่ารับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย คดีจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า ในวันเกิดเหตุหลังจากโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้ายแล้ว โจทก์ได้ร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวดแต่นางสาวอำพรครูประจำชั้น ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยทราบเหตุแล้วกลับละเลย ไม่นำโจทก์ให้แพทย์ตรวจรักษาหรือแจ้งให้ผู้ปกครองของโจทก์ทราบเพื่อนำโจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษาทันที ซึ่งนางสาวอำพรควรจะคาดหมายได้ว่า การที่ปลายแท่งดินสอทิ่มถูกดวงตาข้างซ้ายของโจทก์และโจทก์ร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวดนั้น โจทก์ควรจะได้รับอันตรายร้ายแรง ดังจะเห็นได้ว่า จักษุแพทย์ตรวจพบว่า โจทก์ได้รับอันตรายร้ายแรงถึงขั้นกระจกตาฉีกขาดที่ตาดำข้างซ้ายเป็นบาดแผลขนาด 4 ถึง 5 มิลลิเมตร และกระจกตาทะลุ ต้องเย็บซ่อมกระจกตาดำให้โจทก์ ซึ่งเป็นกรณีที่ถือได้ว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่โจทก์ควรได้รับการรักษาด้วยการเย็บซ่อมกระจกตาอย่างเร่งด่วน การที่นางสาวอำพร ครูประจำชั้น เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ดูแลโจทก์ให้มีความปลอดภัยขณะอยู่ในโรงเรียน กลับปล่อยให้เวลาล่าช้าไป 5 ถึง 6 ชั่วโมง บาดแผลที่กระจกตาซ้ายของโจทก์ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสั่งให้โจทก์ไปล้างหน้าล้างตาย่อมเห็นได้ว่ามีความเสี่ยงสูงยิ่งขึ้นที่บาดแผลของโจทก์จะติดเชื้อจากน้ำซึ่งไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออันจะมีผลกระทบต่อบาดแผลที่กระจกตาของโจทก์ ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นมากยิ่งขึ้น แม้นายณัฐวัฒน์ ผู้ตรวจรักษาโจทก์พยานโจทก์จะเบิกความว่า ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ติดเชื้อและอักเสบตั้งแต่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตากสิน ก็น่าจะมีความหมายว่า หลังจากที่รับตัวโจทก์ไว้รักษาในโรงพยาบาลตากสินแล้ว พยานตรวจพบว่าโจทก์มีอาการติดเชื้อ ไม่ได้หมายความว่า โจทก์มาติดเชื้อที่โรงพยาบาลในภายหลัง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบดังกล่าวมานี้ จึงมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า นางสาวอำพร ครูประจำชั้นของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนของจำเลยมีส่วนประมาทเลินเล่อในการดูแลความปลอดภัยของโจทก์โดยละเลยไม่รีบนำโจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษาดวงตา หลังจากทราบว่าโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้าย ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวน่าเชื่อว่ามีส่วนทำให้ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ติดเชื้อ โดยนายณัฐวัฒน์ จักษุแพทย์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า หากดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ไม่ติดเชื้อก็อาจจะไม่ถึงขนาดสูญเสียการมองเห็น เมื่อโจทก์นำสืบฟังได้ว่า โจทก์ต้องสูญเสียการมองเห็นในเวลาต่อมาตามใบรับรองแพทย์ โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น เช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดในผลของความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5
คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า จำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 1,003,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ในส่วนที่เป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรักษาตัวเป็นเงิน 3,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยชอบด้วยเหตุผลแล้ว และเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้นำสืบในรายละเอียดของค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าเจ็บป่วยต้องทนทุกขเวทนาและกระทบกระเทือนจิตใจที่สูญเสียดวงตาข้างซ้าย กับค่าสูญเสียดวงตาในการทำมาหาเลี้ยงชีพตามที่โจทก์เรียกมาในคำฟ้องแต่ละจำนวน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายและมีค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับที่โจทก์เรียกมาในคำฟ้อง ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคหนึ่ง คดีจึงมีข้อที่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นค่าทนทุกขเวทนาและหน้าเสียโฉมอย่างติดตัวเป็นเงิน 600,000 บาท กับค่าเสียหายเป็นค่าเสียดวงตาในการทำมาหาเลี้ยงชีพในอนาคตเป็นเงิน 400,000 บาท นั้น เหมาะสมแล้วหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ต้องสูญเสียการมองเห็นนั้น ต้นเหตุสำคัญคือโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ที่ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอใส่ดวงตาข้างซ้ายจนกระจกตาทะลุและฉีกขาดเป็นบาดแผลยาว 4 ถึง 5 มิลลิเมตร ซึ่งหลังจากจักษุแพทย์ เย็บซ่อมกระจกตาให้โจทก์แล้ว จะมีรอยแผลเป็นที่กระจกตา ตามแบบใบแสดงความเห็นแพทย์ โดยนายณัฐวัฒน์ พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อประเมินจากบาดแผลของโจทก์แล้ว เชื่อว่าจะไม่มีทางมองเห็นได้เป็นปกติอันเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการทำละเมิดของเด็กชาย ณ. และรอยแผลเป็นดังกล่าว น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดน้อยลงหรือสูญเสียไปในที่สุด ส่วนการที่นางสาวอำพร ครูประจำชั้น เจ้าหน้าที่ของจำเลยประมาทเลินเล่อโดยละเลยไม่รีบนำโจทก์ส่งโรงพยาบาลให้จักษุแพทย์ตรวจรักษานั้น เห็นว่า เป็นเพียงเหตุข้างเคียงอันมีผลทำให้โจทก์ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้บาดแผลที่กระจกตกของโจทก์ใหญ่ขึ้น และมีโอกาสสูญเสียหายการมองเห็นได้มากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งเป็นเหตุให้โจทก์ต้องทนทุกขเวทนาเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติเนื่องจากบาดแผลติดเชื้อ ถือว่าความประมาทเลินเล่อของนางสาวอำพร ไม่ถึงกับร้ายแรงนัก เมื่อพิจารณาใบหน้าของโจทก์ตามภาพถ่าย ก็ไม่ปรากฏว่า ใบหน้าของโจทก์ถึงขนาดต้องเสียโฉม เพราะดวงตาข้างซ้ายของโจทก์เพียงแต่สูญเสียการมองเห็นเท่านั้น ไม่ใช่กรณีที่แพทย์ต้องควักลูกตาข้างซ้ายของโจทก์ออกไป อันจะทำให้ใบหน้าโจทก์ต้องเสียโฉม ซึ่งในอนาคตโจทก์ยังมีโอกาสที่จะผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา หากโจทก์ได้รับการบริจาคดวงตาจากผู้ใจบุญและอาจมองเห็นได้ ประกอบกับได้ความตามทางนำสืบของคู่ความว่าโจทก์ได้รับการบรรเทาผลร้ายโดยโจทก์ได้รับเงินค่าเสียหายจากบิดาของเด็กชาย ณ. 45,000 บาท เงินช่วยเหลือจากผู้บริหารโรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลย์อนุสรณ์) ของจำเลย 15,000 บาท และเงินค่าสินไหมทดแทนประกันอุบัติเหตุนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดของจำเลยอีก 66,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 126,000 บาท แล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นค่าทนทุกขเวทนาที่ต้องป่วยเจ็บและสูญเสียการมองเห็นสำหรับดวงตาข้างซ้ายเป็นเงิน 50,000 บาท กับค่าเสียความสามารถในการทำมาหาเลี้ยงชีพบางอาชีพในอนาคตเนื่องจากดวงตาข้างซ้ายมองไม่เห็น เป็นเงินอีก 150,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 203,000 บาท ส่วนค่าดอกเบี้ยนั้น แม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันถัดจากวันฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษาเรื่องดอกเบี้ยให้เป็นไปตามที่โจทก์ขอมาในคำฟ้องฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 203,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามอัตราและนับแต่เวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ