คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7381/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและผู้บังคับบัญชาของโจทก์แจ้งให้โจทก์ทราบว่านายจ้างเลิกจ้าง กับนำหนังสือแจ้งการเลิกจ้างเอกสารหมาย ล. 2 มาให้โจทก์ดู ซึ่งจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้มีคำสั่งเลิกจ้างลงมาด้วยตนเอง และจำเลยที่ 2 สั่งการในหนังสือเอกสารหมาย ล. 2 ว่า ยังไม่สมควรเลิกจ้าง แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลมิได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ทราบ หนังสือเอกสารหมาย ล. 2 เป็นหนังสือที่ ว. มีถึง พ. เพื่อขอเลิกจ้างโจทก์ และ พ. บันทึกความเห็นว่า สมควรเลิกจ้างโจทก์เสนอต่อจำเลยที่ 2 มิใช่หนังสือที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างแจ้งไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไป จึงมิใช่หนังสือเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ย่อมเป็นที่เข้าใจแก่คนทั่วไปว่า จำเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างมีความประสงค์ที่จะเลิกจ้างโจทก์นั้น ก็ขัดกับข้อความที่จำเลยที่ 2 บันทึกไว้ในเอกสารหมาย ล. 2 ว่า ไม่ควรเลิกจ้าง ให้เรียกมาตกลงกันใหม่โดยทำหนังสือเป็นข้อตกลง ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและผู้บังคับบัญชาของโจทก์นำหนังสือเอกสารหมาย ล. 2 แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์นั้นก็ไม่มีผลเป็นการเลิกจ้างเนื่องจากบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจเลิกจ้างและหนังสือเอกสารหมาย ล. 2 ก็มิใช่หนังสือเลิกจ้าง ทั้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาก็ไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่า จำเลยที่ 2 เชิดเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือ พ. ให้เป็นตัวแทนและมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้เลิกจ้างโจทก์ จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ จำเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๗,๓๘๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๘ ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทำงานครบ ๓ ปี แต่ไม่ถึง ๖ ปีมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย จำนวน ๑๘๐ วันเป็นเงิน ๔๔,๒๘๐ บาท ระหว่างทำงานจำเลยหักเงินประกันไว้ ๒,๐๐๐บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินประกันจำนวน ๒,๐๐๐ บาทจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน ๗,๓๘๐ บาท และค่าชดเชยจำนวน ๔๔,๒๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การด้วยวาจาว่า จำเลยทั้งสองยังไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ แต่โจทก์หยุดงานไม่มาทำงานให้จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าส่วนเงินประกันรับว่ายังไม่ได้คืนให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ จำเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๗,๓๘๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๘ ของเดือน เมื่อวันที่๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ นางสาววรจิตรา เจริญกุศล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบริหารซึ่งรับผิดชอบงานฝ่ายบุคคลของจำเลยที่ ๑ ทำหนังสือขอเลิกจ้างโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.๒ ถึงนายไพรัช อุศศิลป์ศักดิ์ ผู้จัดการศูนย์ของจำเลยที่ ๑ เสนอความเห็นว่า เห็นควรเลิกจ้างโจทก์ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ เรื่องการตอกบัตรมาทำงานและตอกบัตรเวลาเลิกงานมาทำงานสาย และมีการขาดงานหลายครั้ง นายไพรัชบันทึกความเห็นถึงจำเลยที่ ๒ ว่า “โจทก์ปฏิบัติบกพร่องต่อหน้าที่หลายครั้ง เห็นสมควรเลิกจ้างโจทก์ ส่วนจะต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานหรือไม่ให้เป็นดุลพินิจของศาล” จำเลยที่ ๒ บันทึกความเห็นในเอกสารหมายล.๒ ว่า “ไม่ควรเลิกจ้าง ให้เรียกมาตกลงกันใหม่ โดยทำหนังสือเป็นข้อตกลง” โจทก์มาทำงานให้จำเลยที่ ๑ ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๒แล้วไม่มาทำงานอีก ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและผู้บังคับบัญชาแจ้งให้โจทก์ทราบว่า นายจ้างเลิกจ้างโจทก์กับนำหนังสือแจ้งการเลิกจ้างมาให้โจทก์ดูก่อน ย่อมเป็นที่เข้าใจแก่คนทั่วไปว่า จำเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างมีความประสงค์ที่จะเลิกจ้างโจทก์ แม้จำเลยที่ ๒ในฐานะกรรมการผู้จัดการยังไม่ได้มีคำสั่งเลิกจ้างลงมาด้วยตนเองก็ตามส่วนที่จำเลยที่ ๒ สั่งการในหนังสือที่ฝ่ายบุคคลเสนอขอเลิกจ้างว่า ยังไม่สมควรเลิกจ้างโจทก์ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก็มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบการกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองทำให้คนทั่วไปทราบว่า โจทก์ถูกเลิกจ้างแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าชดเชยจำนวน๔๔,๒๘๐ บาท เงินประกันการทำงาน ๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน ๗,๓๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ และต้องจ่ายค่าชดเชย กับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ตามที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ บัญญัติว่า “ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังต่อไปนี้
(๑) …
(๒) …
(๓) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปีแต่ยังไม่ครบหกปีให้จ่ายไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย…” และบัญญัติคำว่า เลิกจ้างไว้ในวรรคสอง ว่า “การเลิกจ้างตามมาตรานี้ หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุนายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป” หมายความว่า การเลิกจ้างนั้นต้องเป็นการกระทำของนายจ้างที่ไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไป การกระทำของผู้อื่นที่ไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปนั้น มิใช่การเลิกจ้าง ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑มาตรา ๕ ได้ให้คำนิยามคำว่า นายจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้และหมายความรวมถึง
(๑) …
(๒) ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลและผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลให้ทำการแทนด้วย” คดีนี้ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เป็นผู้ตกลงรับโจทก์เข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ จึงเป็นนายจ้างของโจทก์ และจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ ๑ ถือเป็นนายจ้างของโจทก์ด้วย ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและผู้บังคับบัญชาของโจทก์แจ้งให้โจทก์ทราบว่านายจ้างเลิกจ้าง กับนำหนังสือแจ้งการเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.๒ มาให้โจทก์ดู ซึ่งจำเลยที่ ๒ ยังไม่ได้มีคำสั่งเลิกจ้างลงมาด้วยตนเอง และจำเลยที่ ๒ สั่งการในหนังสือเอกสารหมาย ล.๒ ว่า ยังไม่สมควรเลิกจ้าง แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลมิได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวของจำเลยที่ ๒ ให้โจทก์ทราบ พิเคราะห์หนังสือเอกสารหมาย ล.๒ แล้ว เห็นว่า เป็นหนังสือที่นางสาววรจิตรามีถึงนายไพรัชเพื่อขอเลิกจ้างโจทก์ และนายไพรัชบันทึกความเห็นว่า สมควรเลิกจ้างโจทก์เสนอต่อจำเลยที่ ๒ มิใช่หนังสือที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างแจ้งไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไป จึงมิใช่หนังสือเลิกจ้าง การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ย่อมเป็นที่เข้าใจแก่คนทั่วไปว่า จำเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างมีความประสงค์ที่จะเลิกจ้างโจทก์นั้น ก็ขัดกับข้อความที่จำเลยที่ ๒ บันทึกไว้ในเอกสารหมาย ล.๒ ว่า ไม่ควรเลิกจ้าง ให้เรียกมาตกลงกันใหม่โดยทำหนังสือเป็นข้อตกลง ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและผู้บังคับบัญชาของโจทก์นำหนังสือเอกสารหมาย ล.๒ แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์นั้นก็ไม่มีผลเป็นการเลิกจ้างเนื่องจากบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจเลิกจ้างและหนังสือเอกสารหมาย ล.๒ ก็มิใช่หนังสือเลิกจ้างทั้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาก็ไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่า จำเลยที่ ๒ เชิดเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือนายไพรัชให้เป็นตัวแทนและมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้เลิกจ้างโจทก์ จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอโจทก์ที่ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share