คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะสวมหมวกไหมพรมสีดำปิดหน้าถึงบริเวณคิ้วแต่สามารถเห็นหน้าและพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ขู่บังคับพยานจำหน้าจำเลยได้แม่นยำ เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟนีออนและสปอทไลท์ เปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ประกอบกับก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยได้มาคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ขอทำงานอยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ได้เดินทางไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ตู้ยามพร้อมกับยืนยันว่าคนร้ายคือจำเลยพยานทั้งสามไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามที่เป็นจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมี ท.พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า เมื่อจับกุมจำเลยได้แล้วได้แจ้งข้อหาจำเลยว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้อื่นและมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อท. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ ที่จำเลยนำสืบว่าเจ้าพนักงานตำรวจบอกให้ลงลายมือชื่อแล้วจะกันไว้เป็นพยานโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังเมื่อฟังคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนประกอบคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามแล้ว เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,83, 340, 340 ตรี ริบของกลางและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 50,000 บาทแก่ ผู้เสียหายที่ 1 และจำนวน 5,000 บาทแก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คืนหมวกไหมพรมของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 83, 33ให้จำคุก 24 ปี คำรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี ริบของกลางและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 50,000 บาทแก่ผู้เสียหายที่ 1 และจำนวน 5,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้าย3 คน ร่วมกันใช้ปืนสั้น 1 กระบอกมีดพกสั้น 1 เล่ม เป็นอาวุธร่วมกันปล้นสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 เส้น พร้อมพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ รวมราคา 20,000 บาท และโทรศัพท์มือถือจำนวน 1 เครื่อง ราคา 30,000 บาท ของนายล้วน จุฑาคุปต์ผู้เสียหายที่ 1 และสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้นพร้อมพระเลี่ยมทองคำจำนวน 1 องค์รวมราคา 5,000 บาท ของนางไกรอัมพร วงศ์ศรีชา ผู้เสียหายที่ 2 ไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่า ขณะที่พยานนอนหลับอยู่ในห้อง มีคนมากระชากประตูห้องจนหลุด พยานสะดุ้งตื่นขึ้นมามีชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องและใช้ปืนจ่อที่หน้าอกและบอกว่าเอาทองมา และข้างนอกห้องมีชาย 2 คน ยืนอยู่ในลักษณะคุมเชิงอยู่คนหนึ่งถือมีดอยู่ด้วย คนร้ายที่เอาอาวุธปืนจี้พยานใส่เสื้อผ้าสีดำ ๆ ใส่หมวดไหมพรมสีดำปิดถึงบริเวณคิ้วข้างล่าง ตั้งแต่คิ้วลงมาไม่ใส่ปกปิดไว้ พยานจำหน้าคนร้ายได้ว่าเป็นนายสุชาติ ใจกระจ่าง จำเลย เนื่องจากเคยทำงานด้วยกันมาก่อนและวันที่ 14 มีนาคม 2538 จำเลยได้มาคุยกับพยานที่หน้าห้องพักของพยานตั้งแต่ 5 โมงเช้า ถึงบ่ายโมง หลังจากคนร้ายหลบหนีไปแล้วพยานได้ขับรถไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ตู้ยามที่ตำบลคลองปางและยืนยันว่าคนร้ายคือ จำเลย ส่วนอีก 2 คนนั้นจำไม่ได้ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่า พยานและสามีนอนหลับอยู่ในห้องและสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเดินและเสียงพูดอยู่ในห้องผู้เสียหายที่ 1คนพูดว่าเอาทองมาเป็นเสียงผู้ชายพยานจึงปลุกสามีว่ามีเสียงผิดปกติที่ห้องผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตูพยานกำลังจะเดินตามไปเห็นชาย 2 คน คนหนึ่งถือมีดพกปลายแหลมขู่สามีพยานไม่ให้ออกจากห้อง คนร้ายที่อยู่ในห้องผู้เสียหายที่ 1ออกจากห้องตรงมาที่ห้องพยานพร้อมเอาอาวุธปืนขู่สามีพยานให้เข้าไปในห้อง เมื่อคนร้ายเข้าไปในห้องแล้วได้เอาอาวุธปืนจี้บริเวณคอและให้พยานถอดสร้อยคอทองคำให้พยานกลัวจึงยอมปลดสร้อยคอทองคำพร้อมขี้หลวงพ่อเพชร 1 องค์ ให้ไปคนร้ายสวมหมวกไอ้โม่งปิดลงมาถึงคิ้ว พยานเห็นใบหน้าชัดเจนรู้ว่าคนร้ายคือนายสุชาิต ใจกระจ่าง จำเลยนี้เพราะเป็นคนงานก่อสร้างไป ๆ มา ๆ อยู่ที่บริเวณก่อสร้าง คืนเกิดเหตุพยานไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจ แต่เจ้าพนักงานตำรวจก็ยังไม่ได้บันทึกปากคำไว้ และนายธวัช จุฑาคุปต์ สามีผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่าพยานตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงในห้องผู้เสียหายที่ 1 พยานจะออกไปช่วยแต่หน้าห้องพยานและผู้เสียหายที่ 1 มีชาย 2 คน ยืนอยู่ระหว่างห้องพยานกับห้องผู้เสียหายที่ 1 มีชายคนหนึ่งถือมีดสั้นเป็นอาวุธขณะนั้นคนร้ายได้ออกจากห้องผู้เสียหายที่ 1 พอดี และคนร้ายได้เอาอาวุธปืนจี้ที่หน้าอกพยานและบอกว่า ห้องนี้มีทอง พยานบอกว่าไม่มี คนร้านบอกว่าผู้หญิงมี และดันพยานเข้าไปในห้อง ช่วงระยะเวลานั้นพยานมองเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนและจำได้ว่าเป็นจำเลยเห็นว่า แม้จำเลยจะสามหมวกไหมพรมสีดำปิดหน้าถึงบริเวณคิ้วแต่สามารถเห็นหน้า และพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนขี้ขู่บังคับ พยานจำหน้าจำเลยได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟนีออนและสปอทไลท์เปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ประกอบกับก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยได้มาคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ขอทำงานอยู่เป็นเวลานาน 2 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ได้เดินทางไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ตู้ยามที่ตำบลคลองปางพร้อมกับยืนยันว่าคนร้ายคือจำเลยพยานทั้งสามไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามที่เป็นจริงนอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทสุทิพย์ ครุวนากรินทร์เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจกิ่งอำเภอรัษฎา เบิกความว่าหลังเกิดเหตุได้รับแจ้งทางวิทยุว่าเกิดเหตุคดีนี้ พยานจึงเดินทางไปที่เกิดเหตุสอบถามผู้เสียหายอ้างว่าจำหน้าคนร้ายได้ จากการสืบสวนทราบว่าจำเลยนี้เป็นคนร้ายจึงได้ออกหมายจับ พบจำเลยแจ้งข้อหาจำเลยว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้อื่นจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 และพันตำรวจโทฟื้น บุญสนธิ์พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้ชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้อื่นและมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ปจ.4 เห็นว่า พยานทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ ที่จำเลยนำสืบว่าชั้นจับกุมจำเลยให้การปฏิเสธแต่เจ้าพนักงานตำรวจบอกให้ลงลายมือชื่อจะกันไว้เป็นพยานพยานจึงลงลายมือชื่อให้พนักงานตำรวจไปโดยไม่ได้อ่านข้อความชั้นสอบสวนพยานให้การรับสารภาพเพราะพนักงานสอบสวนอ้างว่าจะกันไว้เป็นพยานนั้น เห็นว่าจำเลยเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง เมื่อฟังคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนประกอบคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามแล้ว เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share