คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยบอกให้พวกของจำเลยส่งอาวุธปืน พวกของจำเลยก็ส่งให้แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนจ่อที่ศีรษะผู้เสียหายในทันทีทันใดนั้นเองโดยพวกของจำเลยก็ยังอยู่ที่เกิดเหตุนั้นด้วย พวกของจำเลยจึงยังคงควบคุมดูแลอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวอยู่อย่างใกล้ชิดและมิได้มอบการครอบครองให้จำเลย สิทธิครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนยังคงอยู่กับพวกของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองและไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนด้วย โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกาว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนได้

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมากับคดีหมายเลขแดงที่ 4800/2533 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 83, 91,288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 2 ปีฐานพาอาวุธปืน ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมเป็นโทษจำคุก3 ปี ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคสองคงจำคุกจำเลย 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คำว่า “มี” ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 4(6) ได้ให้คำนิยามไว้ว่าหมายความว่า มีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครอง ดังนั้นการที่จำเลยบอกให้พวกส่งอาวุธปืนและพวกก็ส่งให้แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนจ่อที่ศีรษะผู้เสียหายในทันทีทันใดนั่นเองซึ่งพวกของจำเลยก็ยังอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นด้วยพวกของจำเลยจึงยังคงควบคุมดูแลอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวอยู่อย่างใกล้ชิดหาใช่ว่าพวกของจำเลยได้มอบให้จำเลยครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนโดยอิสระไม่ ย่อมไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนนั้น เพราะจำเลยมิได้ยึดถืออาวุธปืนยังคงอยู่กับพวกของจำเลย ฉะนั้นจึงไม่เรียกว่าจำเลยมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครอง ทั้งพฤติการณ์ของจำเลยตามข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้พาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 จำเลยจึงมิได้กระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนด้วย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหาว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตขึ้นมา แต่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185ประกอบมาตรา 215 และ 225 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องในข้อหาความผิดฐานพาอาวุธปืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคแรก เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share