แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลย จำเลยฎีกา เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ย่อมต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามการที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์มาบางข้อและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ลงโทษจำคุกจำเลย ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เนื่องจากเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15และปัญหาว่าศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการชอบหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาชอบที่จะยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาของจำเลยโดยให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องย่อมต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อ 2(1)ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นให้รับ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อมา จึงมีปัญหาในเบื้องต้นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมานั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายสำหรับอุทธรณ์ข้อ 2(2) ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ แต่โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของทั้งโจทก์และจำเลยรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ น่าเชื่อว่าจำเลยรับเงินทั้งหมดไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว อุทธรณ์ส่วนนี้จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์กล่าวในอุทธรณ์ว่าแม้จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยก็มีหนี้ต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทเพราะเป็นหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมายนั้น เป็นการกล่าวอ้างขึ้นเพื่อให้ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้มิใช่เพื่อเป็นประกันหนี้ดังที่ศาลชั้นต้นรับฟัง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เช่นเดียวกันสำหรับอุทธรณ์ข้อ 2(3) ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยขอให้โจทก์ทำหนังสือตามเอกสารหมาย ล.8 ขอเงินคืนจากบริษัทพรูเดนเชียลอินชัวรันส์ จำกัด แสดงว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับบริษัทดังกล่าวจำเลยมีหน้าที่เพียงติดต่อขอเงินจากบริษัทดังกล่าวคืนโจทก์เท่านั้นโจทก์อุทธรณ์ว่าเอกสารหมาย ล.8 เป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวงของจำเลย บริษัทดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีตัวตนหรือไม่ ก็เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนข้อที่เกี่ยวข้องกับเอกสารหมาย จ.3 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เอกสารฉบับนี้มีข้อความว่าจำเลยจะพยายามหาเงินมาคืนโจทก์ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะให้โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินนั้นโจทก์อุทธรณ์ว่าหากอ่านเอกสารฉบับนี้ทั้งฉบับประกอบคำเบิกความของจำเลยแล้วจะรับฟังดังศาลชั้นต้นไม่ได้ ย่อมเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น มิใช่กล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหรือนอกจากที่ปรากฏในสำนวนจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์มาบางข้อและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ และแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ลงโทษจำคุกจำเลยก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะฎีกาว่าจำเลยไม่มีหนี้ที่ต้องชำระให้โจทก์และจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดเนื่องจากเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการชอบหรือไม่นี้ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของจำเลยโดยให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น