คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 737/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยยอมชำระเงินให้ผู้ร้องจำนวนหนึ่งโดยจะโอนเรือนพิพาทให้ผู้ร้องแทนการชำระหนี้ถ้าจำเลยขัดขืนไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้วผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนผู้อื่นแม้โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้จำเลย ก็หามีสิทธิยึดเรือนพิพาทไม่
(มติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2511)

ย่อยาว

คดีนี้ เป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี โดยโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเรือนพิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลย เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา

ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า เรือนพิพาทเป็นของผู้ร้อง ซึ่งได้กรรมสิทธิ์มาตามคำพิพากษาศาลแพ่ง คดีแดงที่ 3277/2507 ขอให้สั่งปล่อย

โจทก์ให้การว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกเรือนพิพาทให้ผู้ร้อง โดยสมคบกันเป็นกลฉ้อฉลเพื่อมิให้โจทก์บังคับคดี ขอให้ยกคำร้อง

คู่ความไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยยอมยกเรือนพิพาทให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เป็นการชำระหนี้แทนเงินที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องอยู่และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์ยึดเรือนพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ของตนไม่ได้ มีคำสั่งให้ปล่อยเรือนพิพาท

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ในสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยได้ยอมชำระเงินให้ผู้ร้อง 7,500 บาท โดยจำเลยจะโอนเรือนพิพาทให้ผู้ร้องแทนการชำระหนี้ถ้าจำเลยขัดขืนไม่ไปโอน ก็ให้เอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แม้โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้จำเลย โจทก์ก็หามีสิทธิยึดเรือนพิพาทไม่

พิพากษายืน

Share