คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1987/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 บัญญัติให้แบ่งทรัพย์ของคู่สมรสที่ตายอย่างหย่า และมาตรา 1513(1)(2) ก็ให้คืนสินเดิมแก่คู่สมรส หากขาดไปก็ยังต้องเอาสินสมรสใช้สินเดิมเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ ทรัพย์อันได้ความว่าเป็นสินเดิมของ ช. จึงเป็นของ ช. ผู้เดียว โดยโจทก์หามีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วยไม่ ช. ย่อมมีอำนาจจัดการกับทรัพย์ของตนโดยทำพินัยกรรมยกให้แก่พวกจำเลยไปทั้งหมดได้ เพราะไม่เป็นการเกินส่วนของตนตามมาตรา 1477
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้า ขอให้ศาลสั่งว่าทรัพย์สินที่ ช. ทำพินัยกรรมยกให้จำเลยทั้งห้าเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กึ่งหนึ่ง ให้เพิกถอนพินัยกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับสินบริคณห์ของโจทก์ จำเลยที่ 1, 4 และ 5 มิได้ต่อสู้คดีและขาดนัดพิจารณา ดังนี้ มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 ดังนี้ เมื่อศาลพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในทรัพย์ส่วนที่เป็นสินเดิมของ ช. ย่อมไม่พิพากษาแบ่งให้โจทก์ตามคำให้การยินยอมของจำเลยที่ 1, 4 และ 5

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ร้อยตำรวจตรีชวนสามีโจทก์ซึ่งตายไปแล้วทำพินัยกรรมยกสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับร้อยตำรวจตรีชวนให้จำเลยทั้งห้า ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าทรัพย์สินที่ร้อยตำรวจตรีชวนทำพินัยกรรมยกให้จำเลยทั้งห้าเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กึ่งหนึ่งให้เพิกถอนพินัยกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับสินบริคณห์ของโจทก์ ฯลฯ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า ทรัพย์ที่ร้อยตำรวจตรีชวนทำพินัยกรรมยกให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และจำเลยอื่น ไม่เกินส่วนของตนซึ่งร้อยตำรวจตรีชวนมีอำนาจทำได้ เว้นแต่ห้องแถวไม้ชั้นเดียวที่ยอมแบ่งให้โจทก์ ฯลฯ
ส่วนจำเลยที่ ๑, ๔ และ ๕ ให้การไม่ขอสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พินัยกรรมของร้อยตำรวจตรีชวนที่ยกทรัพย์สินให้แก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ สมบูรณ์ และไม่เกินส่วนในทรัพย์ของร้อยตำรวจตรีชวน เว้นแต่ห้องแถวชั้นเดียวซึ่งไม่รวมทั้งที่ดินที่ยกให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นั้น ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ได้รับเพียงครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้ตกได้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
โจทก์ฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๗ร้อยตำรวจตรีชวนสามีไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินบริคณห์ให้ผู้อื่นเกินกว่าส่วนของตนเพราะกฎหมายมาตรานี้ใช้คำว่า “สินบริคณห์” มิได้ใช้คำว่า “สินเดิมและสินสมรส”โจทก์จึงย่อมจะมีสิทธิในสินเดิมของร้อยตำรวจตรีชวนด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๕ ได้บัญญัติว่า ให้แบ่งทรัพย์ของคู่สมรสที่ตายอย่างหย่า และมาตรา๑๕๑๓(๑)(๒) ก็ให้คืนสินเดิมแก่คู่สมรสอยู่แล้ว หากขาดไปก็ยังต้องเอาสินสมรสใช้สินเดิมเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ ทรัพย์อันได้ความว่าเป็นสินเดิมของร้อยตำรวจตรีชวน จึงเป็นของร้อยตำรวจตรีชวนแต่ผู้เดียวโดยโจทก์หามีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วยไม่ เมื่อเช่นนี้ร้อยตำรวจตรีชวนย่อมมีอำนาจจัดการกับทรัพย์ของตนโดยทำพินัยกรรมยกให้แก่พวกจำเลยไปทั้งหมดได้เพราะไม่เป็นการเกินส่วนของตนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๗๗
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ มิได้ต่อสู้คดีโจทก์และยังขาดนัดพิจารณา จึงควรพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ที่จำเลยแสดงเจตนาจะแบ่งให้โจทก์แก่โจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า มูลความแห่งคดีนี้เป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ กรณีจึงต้องด้วยมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันมา ให้ยกฟ้องโจทก์ในทรัพย์ส่วนที่เป็นสินเดิมของร้อยตำรวจตรีชวน โดยไม่พิพากษา แบ่งให้ตามคำให้การยินยอมของจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ด้วย จึงเป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share