แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ลักษณะ 2 หมวด 1 บัญญัติให้เรื่องการเป็นผู้ประกันตนที่เป็นปัญหาพิพาทในคดีนี้อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของสำนักงานประกันสังคมจำเลย และยังให้สิทธิโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ประกันตนต่อจำเลยตามมาตรา 33 ว่าหากโจทก์ไม่พอใจคำสั่งของเลขาธิการสำนักงานประกันสังคมหรือของพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมที่สั่งการตามกฎหมายฉบับนี้ ให้โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำสั่งตามมาตรา 85 คณะกรรมการอุทธรณ์ที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 86 ก็เป็นคณะกรรมการของจำเลยโดยผู้แทนสำนักงานประกันสังคมเป็นกรรมการและเลขานุการเพื่อต้องการให้คณะกรรมการอุทธรณ์ได้ตรวจสอบคำสั่งของเลขาธิการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งในหน่วยงานของจำเลย นอกจากนี้มาตรา 87 วรรคท้าย ยังได้บัญญัติรับรองสิทธิของโจทก์ไว้อีกว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์นั้น ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย ดังนี้ เมื่อจำเลยแจ้งยกเลิกการเป็นผู้ประกันตนของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ และคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์มีอิสระในการทำงาน ไม่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา และไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับในการทำงานของบริษัท ต. ไม่ต้องลงเวลาทำงาน สามารถตัดสินใจในกิจการของบริษัทได้โดยลำพังไม่ต้องปรึกษาผู้ใด โดยโจทก์มีหน้าที่ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าของบริษัท ต. โจทก์จะทำงานอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจะมีผลงานหรือไม่มีผลงาน ก็ไม่มีการให้คุณให้โทษแก่โจทก์ อันแสดงให้เห็นว่าการทำงานของโจทก์มิได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของบริษัท ต. ดังนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับบริษัท ต. จึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นนายจ้างและลูกจ้างกัน อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเข้าเป็นผู้ประกันตนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 33 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลย ให้โจทก์ยังคงสถานะเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 และให้จำเลยจ่ายเงิน 104,226 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2549 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเป็นผู้แทนจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ชนิดแห้งอัดเม็ดบรรจุกระสอบ ปุ๋ยจุลินทรีย์ชนิดน้ำ จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย ฯลฯ มีนางสาวภัครดา ภรรยาโจทก์ นางอุมาพรรณ นางพงษ์ลดา และนายปราชญา พี่ชายโจทก์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน กรรมการทุกคนมีงานประจำอื่นทำ บริษัทดังกล่าวขึ้นทะเบียนประกันสังคมเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2549 โดยแจ้งว่ามีลูกจ้าง 5 คน รวมทั้งโจทก์ วันที่ 28 ธันวาคม 2549 ลูกจ้างคนอื่นลาออกคงเหลือโจทก์เพียงคนเดียว โจทก์และบริษัทดังกล่าวส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตลอดมา วันที่ 10 มิถุนายน 2550 โจทก์เข้ารับการรักษาโรคไตที่โรงพยาบาลเลิดสิน แพทย์ระบุว่าเป็นไตวายเรื้อรังตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 ต่อมาต้องรักษาโดยการฟอกไตที่โรงพยาบาลนครธน โจทก์จึงยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีบำบัดทดแทนไตต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 โดยให้ถ้อยคำว่าก่อนหน้านั้นโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทอื่นแล้วลาออกเมื่อต้นปี 2549 เพราะหมดงานและมีปัญหาด้านการเงิน จากนั้นเข้าทำงานที่บริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด ทำหน้าที่พนักงานขาย ได้รับเงินเดือนในอัตราเดือนละ 5,000 บาท กับค่าใช้จ่ายตามที่จ่ายจริง สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 จึงตรวจสอบสถานะความเป็นลูกจ้างของโจทก์แล้วมีความเห็นว่า โจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 เนื่องจากมีอิสระในการทำงาน ไม่ต้องทำงานอยู่ภายใต้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งของนายจ้าง ค่าจ้างที่ได้รับขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท สามารถคิดและตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้เองโดยไม่ต้องปรึกษาหรือฟังคำสั่งจากนายจ้าง จึงยกเลิกการเป็นผู้ประกันตนของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2549 โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์มีมติให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า แม้กรรมการบริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด จะเป็นภรรยาและญาติของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัท เมื่อกรรมการบริษัททุกคนมีงานประจำอื่นทำ ย่อมเป็นธรรมดาที่โจทก์ซึ่งต้องทำงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัทเพียงคนเดียวต้องตัดสินใจดำเนินการใด ๆ โดยลำพังในฐานะผู้จัดการบริษัท การที่บริษัทให้อำนาจเต็มแก่โจทก์ในการตัดสินใจดำเนินการทุกอย่างเป็นเรื่องความเชื่อถือไว้วางใจในฐานะญาติและเพื่อความคล่องตัวในการประกอบกิจการ เมื่อไม่ปรากฏว่าการเป็นนายจ้างลูกจ้างของบริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด กับโจทก์ เป็นไปโดยทุจริตเพื่อประสงค์สิทธิในการเป็นผู้ประกันตน จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ว่า โจทก์กระทำการเป็นลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวโดยสุจริต โจทก์จึงเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 33 คำสั่งของจำเลยและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ตามฟ้องไม่ชอบด้วยเหตุผล พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 666/2551 ลงวันที่ 8 เมษายน 2551 ให้โจทก์ยังคงสถานภาพความเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 33 ต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่ความตาย นายปราชญา ผู้จัดการมรดกของโจทก์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นไม่ครบตามคำให้การของจำเลยหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลย ข้อ 4.1 อันเป็นประเด็นเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ คำพิพากษาศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า จำเลยให้การในข้อ 4.1 ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์จึงเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ จำเลยมิได้เป็นผู้มีคำวินิจฉัยจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ อันเป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งศาลแรงงานกลางจะต้องมีคำวินิจฉัย แต่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่เนื่องจากประเด็นดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่ไม่จำต้องรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นนี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยอีก เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ลักษณะ 2 หมวด 1 บัญญัติให้เรื่องการเป็นผู้ประกันตนที่เป็นปัญหาพิพาทในคดีนี้อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของสำนักงานประกันสังคมจำเลย และยังให้สิทธิโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ประกันตนต่อจำเลยตามมาตรา 33 ว่าหากโจทก์ไม่พอใจคำสั่งของเลขาธิการสำนักงานประกันสังคมหรือของพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมที่สั่งการตามกฎหมายฉบับนี้ ให้โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำสั่งตามมาตรา 85 คณะกรรมการอุทธรณ์ที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 86 ก็เป็นคณะกรรมการของจำเลยโดยผู้แทนสำนักงานประกันสังคมเป็นกรรมการและเลขานุการเพื่อต้องการให้คณะกรรมการอุทธรณ์ได้ตรวจสอบคำสั่งของเลขาธิการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งในหน่วยงานของจำเลย นอกจากนี้มาตรา 87 วรรคท้าย ยังได้บัญญัติรับรองสิทธิของโจทก์ไว้อีกว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์นั้น ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย ดังนี้ เมื่อจำเลยแจ้งยกเลิกการเป็นผู้ประกันตนของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ และคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับบริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด อยู่ในฐานะเป็นนายจ้างและลูกจ้างกัน อันทำให้โจทก์มีสิทธิเข้าเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 33 หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ทำงานให้แก่บริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด โดยโจทก์มีอิสระในการทำงาน ไม่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาและไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับในการทำงานของบริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด ไม่ต้องลงเวลาทำงาน สามารถตัดสินใจในกิจการของบริษัทได้โดยลำพังไม่ต้องปรึกษาผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยเหตุผลเพราะว่ากรรมการบริษัททุกคนมีงานประจำอื่นทำ และบริษัทให้อำนาจเต็มแก่โจทก์ในการตัดสินใจดำเนินการทุกอย่างเนื่องจากความเชื่อถือไว้วางใจในฐานะญาติและเพื่อความคล่องตัวในการประกอบกิจการ โดยไม่ปรากฏว่าการเป็นนายจ้างลูกจ้างของบริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด กับโจทก์ เป็นไปโดยทุจริตเพื่อประสงค์สิทธิในการเป็นผู้ประกันตนดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยหรือไม่ก็ตาม แต่การที่จะพิจารณาความสัมพันธ์ของบุคคลว่าเป็นนายจ้างและลูกจ้างกันหรือไม่ นอกจากจะพิจารณาว่าบุคคลทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5 แล้ว ยังต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่าบุคคลที่เป็นลูกจ้างอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาโดยต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบุคคลที่เป็นนายจ้าง ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามความเป็นจริงของความเป็นนายจ้างและลูกจ้างดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากตัวโจทก์เองว่า โจทก์มีอิสระในการทำงาน ไม่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา และไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับในการทำงานของบริษัท 1 ตะวันไบโอเทค จำกัด ไม่ต้องลงเวลาทำงาน สามารถตัดสินใจในกิจการของบริษัทได้โดยลำพังไม่ต้องปรึกษาผู้ใด โดยโจทก์มีหน้าที่ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าของบริษัท และอ้างงบดุลปี 2549 และปี 2550 ของบริษัทดังกล่าว เป็นหลักฐานการเป็นลูกจ้าง แต่งบดุลดังกล่าวกลับไม่ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวมีรายได้จากการขายสินค้าแต่อย่างใด แสดงว่าลักษณะการทำงานของโจทก์นั้น โจทก์จะทำงานอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจะมีผลงานหรือไม่มีผลงาน ก็ไม่มีการให้คุณให้โทษแก่โจทก์ อันแสดงให้เห็นว่าการทำงานของโจทก์มิได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของบริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด ดังนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับบริษัท 1 ตะวันไบโอ – เทค จำกัด จึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นนายจ้างและลูกจ้างกัน อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเข้าเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 33 ได้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง