แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยเป็นเรื่องการเช่านาไม่ว่าโจทก์จำเลยจะมีเจตนาที่จะให้การเช่านาระหว่างตนอยู่ภายใต้บังคับแห่งพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หรือไม่ก็ตาม การเช่านาของโจทก์จำเลยก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น แม้การเช่านาพิพาทตามหนังสือสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยจะกำหนดเวลาเช่าไว้ 1 ปีก็ตาม เมื่อ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ให้ถือว่ามีกำหนด6 ปี การเช่านาพิพาทย่อมมีกำหนดเวลา 6 ปี
การที่โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ เมื่อหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมครบกำหนดเวลาไปแล้ว โจทก์จำเลยคงต้องผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ไม่ใช่ผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับก่อน ๆ ที่ครบกำหนดระยะเวลาการเช่าไปแล้ว และที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยว่าผิดสัญญาเช่านาก็โดยอาศัยหนังสือสัญญาเช่าตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ ดังนั้น การเริ่มนับระยะเวลา 6 ปี จึงต้องเริ่มนับตามตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ หาใช่เริ่มนับตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมไม่ ดังนั้น โจทก์ผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาไม่ได้ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 31
ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่จำเลยขุดสระอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเรียกค่าเสียหายจากจำเลยแยกต่างหากเป็นเอกเทศไปจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทเพราะเหตุที่สัญญาเช่าครบกำหนด ความเสียหายของโจทก์ดังกล่าว ย่อมต้องถือว่าเป็นคำขอบังคับส่วนหนึ่งของข้อหาที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเพราะครบกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว คำขอบังคับที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวย่อมเป็นอันตกไป