แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี และจำเลยนำยึดทรัพย์ของโจทก์ไว้ ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้โจทก์ชะนะคดี โจทก์มีสิทธิที่จะร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์ได้ตามมาตรา 251 ป.วิ.แพ่ง.
ทรัพย์ของโจทก์ตกอยู่ในมือของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยคำสั่งศาล เมื่อการบังคับไม่จำต้องกระทำต่อไป แต่โจทก์ไม่จัดการให้ทรัพย์นั้นกลับคืนมาสู่ความครอบครองแห่งตน ทั้งที่มีสิทธิบริบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จะมาอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้น ว่าเป็นเพราะการกระทำของจำเลยผู้นำยึดหาได้ไม่
ย่อยาว
ได้ความว่า จำเลยชนะความโจทก์ในคดีแพ่งที่ ๕๔/๒๔๘๗ และได้นำยึดสวนยางพาราของโจทก์ไว้ คดีนั้นขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ศาลทั้ง ๒ ได้พิพากษากลับให้จำเลยแพ้ความโจทก์ และไม่ได้จัดการถอนการยึดสวนยางของโจทก์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๘๙ จำเลยจึงได้ขอให้ถอนการยึด โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ไม่ได้กรีดน้ำยาง จำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเป็นผู้รับผิดต่อผลความเสียหายที่ทอดทิ้งระยะเวลานานเกินสมควร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกิดจากการกระทำของโจทก์ที่ไม่ใช้สิทธิตามกฎหมายเอง จำเลยไม่ต้องรับผิด พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชะนะคดี โจทก์มีสิทธิที่จะร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์ได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง.มาตรา ๒๕๑ ดังนี้ ความเสียหายที่เกิดแก่โจทก์นั้น เกิดขึ้นเพราะโจทก์ไม่กระทำการอันความ ต้องกระทำด้วยตนเอง จะถือว่าได้เกิดเพราะการงดเว้นของจำเลยหาได้ไม่ นอกจากนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อทรัพย์ของโจทก์ตกอยู่ในมือของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาลแล้ว เมื่อการบังคับคดีไม่จำเป็นต้องทำต่อไป โจทก์หาได้จัดการให้ทรัพย์นั้นกลับมาคืนสู่ความครอบครอง ทั้ง ๆ ที่ตนมีสิทธิบริบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จะมาอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้น เพราะการกระทำของจำเลยผู้นำยึดหาได้ไม่
พิพากษายืน