แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะโดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินของโจทก์ไปเป็นเงินทั้งสิ้น 236,537 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 254,277.28 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 236,537 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่ได้เบียดบังยักยอกเงินโจทก์แต่จำเลยที่ 1 ถูกหลอกลวงเอาเงินไป
จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การ
ระหว่างการพิจารณา โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1653/2539 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาเป็นผลแพ้ชนะคดีนี้ โดยคดีดังกล่าวหากศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากคดีดังกล่าวศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหาในคดีอาญา จำเลยทั้งสองจะร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องให้แก่โจทก์ ปรากฏว่าศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาได้พิพากษาคดีดังกล่าวตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1221/2540 ให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่าที่ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1221/2540 โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้ ถือว่าศาลยังไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิด กรณีจึงนำหลักเรื่องการนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามาใช้ในคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ในเรื่องคำท้าในคดีนี้หาได้ไม่ คำพิพากษาของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ยังไม่ตรงกับคำท้า ที่ศาลแรงงานกลางแปลความหมายของคำพิพากษาคดีดังกล่าวว่าเป็นไปตามคำท้า จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เห็นว่าคดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1653/2539 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาเป็นข้อแพ้ชนะโดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหาคดีอาญา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ เช่นนี้ เป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ เมื่อปรากฏว่าคดีอาญาดังกล่าวศาลแขวงพระนครศรีอยุธยามีคำพิพากษาตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1221/2540 ให้ยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้ แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิดจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตรงตามที่คู่ความตกลงท้ากัน มิใช่เป็นกรณีที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิดดังโจทก์อ้าง
พิพากษายืน