แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นพาหนะนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายแก่สายลับ รถจักรยานยนต์ดังกล่าวจึงเป็นยานพาหนะซึ่งใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษโดยตรง ต้องริบตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 ส่วนกระดาษตะกั่ว ถุงพลาสติก และกรรไกรของกลางค้นได้ในบ้านของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือวัตถุอื่นซึ่งจำเลยใช้ในการกระทำความผิดจำหน่ายและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่อาจริบได้ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 60 เม็ด น้ำหนัก 5.42 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 6 เม็ด น้ำหนัก 0.55 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 900 บาท โดยฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสองพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าว รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าซึ่งเป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองใช้ขับไปจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ กระดาษตะกั่วจำนวน 1 ม้วน ถุงพลาสติกจำนวน 40 ใบ และกรรไกรจำนวน 1 เล่ม เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบของกลางและให้คืนธนบัตรที่ล่อซื้อจำนวน 900 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 6 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 5 ปี รวมจำคุกคนละ 11 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและสอบสวน และคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี 6 เดือน ริบของกลาง และคืนเงินที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง(เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นและคำขอคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และคืนรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ขนม สข 203 ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2544 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ที่บริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะหลังโรงแรมฟลอริด้า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6 เม็ด ที่สายลับนำมามอบให้ และธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 9 ฉบับ จากนั้นจำเลยที่ 1 พาไปบ้านของจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 2 บุตรของจำเลยที่ 1 อยู่ที่บ้านดังกล่าว ตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 54 เม็ด กระดาษตะกั่วจำนวน 1 ม้วน กรรไกรจำนวน 1 เล่ม และถุงพลาสติกคล้ายซองยาจำนวน 40 ถุง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย สำหรับข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา จึงยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 60 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์มีร้อยตำรวจเอกวิรัตน์ พุดคง และสิบตำรวจเอกสะฝีอี สันลา เบิกความเป็นพยานว่า วางแผนจับกุมโดยให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 โดยพยานโจทก์ทั้งสองซุ่มดูอยู่ที่เพิงขายอาหารริมทางห่างตู้โทรศัพท์สาธารณะหลังโรงแรมฟลอริด้าประมาณ 30 เมตร จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาพบกับสายลับ สายลับส่งมอบสิ่งของแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ส่งมอบสิ่งของแก่สายลับ ปรากฏว่าสิ่งของที่จำเลยที่ 1 มอบแก่สายลับเป็นเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6 เม็ด ของกลาง ร้อยตำรวจเอกวิรัตน์กับพวกจึงจับกุมจำเลยที่ 1 และตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 900 บาท ในมือของจำเลยที่ 1 เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ยังไม่มืด มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ พยานโจทก์ทั้งสองอยู่ห่างจากจำเลยที่ 1 ประมาณ 30 เมตร แสงสว่างและระยะห่างเพียงเท่านี้ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้นอกจากนั้นยังพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อที่จำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 พาเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นที่บ้านของจำเลยที่ 1 ทันที พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 54 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ที่บ้านดังกล่าว พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง ไม่ได้ปรักปรำจำเลยที่ 1 ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยที่ 1 ว่าจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4 และ จ.13 ตามลำดับ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมโดยไม่สมัครใจขณะลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมยังไม่มีข้อความ และเจ้าพนักงานตำรวจบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาไม่ตรงกับที่จำเลยที่ 1 ให้การนั้น เป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังส่วนพฤติการณ์ก่อนจับกุมเกี่ยวกับการแบ่งกำลังของเจ้าพนักงานตำรวจ สถานที่ซุ่มดูและการเข้าจับกุมเป็นรายละเอียด แม้จะไม่ได้ระบุไว้ในบันทึกการจับกุมหรือมีความแตกต่างไปบ้างก็ไม่เป็นข้อสาระสำคัญถึงกับให้ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ เห็นว่า ชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพพร้อมทั้งเขียนบันทึกคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.5 ว่าจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6 เม็ดไปขายให้แก่ลูกค้าที่ติดต่อมาทางโทรศัพท์ทั้งชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 14 นาฬิกา มีคนโทรศัพท์มาที่บ้าน จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับสาย และบอกจำเลยที่ 2 ว่ามีคนมาขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนของจำเลยที่ 2 ไปขาย นอกจากนั้นในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 1 ว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6 เม็ด ที่เจ้าพนักงานตำรวจอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น ความจริงเป็นของจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ไปมอบแก่นายจอย จำเลยที่ 1 เป็นมารดาจำเลยที่ 2 ทั้งสองคนอยู่บ้านเดียวกัน เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยที่ 2 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อมีคนสั่งซื้อจำเลยที่ 1 สามารถนำไปจำหน่ายได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 บัญญัติว่า “…เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่นซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ให้ริบเสียทั้งสิ้น” ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขนม สข 203 ของกลาง เป็นยานพาหนะนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายแก่สายลับ รถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าวจึงเป็นยานพาหนะซึ่งใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษโดยตรงต้องริบตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนกระดาษตะกั่ว ถุงพลาสติกและกรรไกรของกลาง ค้นได้ที่บ้านของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นซึ่งจำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานจำหน่ายและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงไม่อาจริบได้ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยทั้งสองจะไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225″
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 4 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี รวมกับโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ส่วนถุงพลาสติก กระดาษตะกั่ว และกรรไกรของกลางคืนเจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9