คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7314/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันความเสียหายของจำเลยที่ 1ขณะปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยลำพังมิได้รับอนุญาตหรือได้รับมอบหมายจากโจทก์อันเป็นความประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหายอย่างร้ายแรง คิดเป็นเงินจำนวน 349,494.55 บาท จำเลยที่ 1จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ จึงถือว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว หาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าความให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์เป็นตัวการและจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1รับผิดฐานะเป็นตัวแทนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมมีอายุความฟ้องร้องสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) หาใช่เป็นกรณีละเมิดที่ต้องใช้อายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420,448 ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ได้ทำบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลให้นิติกรหรือทนายความของโจทก์ทราบก่อนที่จำเลยที่ 1ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนิติกรของโจทก์ว่าแม้ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอำนาจให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตามหากจะประนีประนอมยอมความแล้ว ให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะประนีประนอมยอมความต่อผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทน แล้วให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนเสนอขออนุมัติต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวได้เวียนไปให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดโจทก์ทราบ และได้รวบรวมไว้เป็นเล่มแต่ละปี สามารถตรวจสอบได้ง่ายและนิติกรทุกคนได้ทราบวิธีปฏิบัติดังกล่าวแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โจทก์ก็ได้ย้ำปรับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลให้ทนายความของโจทก์ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ 1 ให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด การที่จำเลยที่ 1 ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โดยมิได้เสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อ อ. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเพื่อขออนุมัติต่อโจทก์ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลอันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จะอ้างเพียงว่าเมื่อในใบแต่งทนายความให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้แล้วจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่ 1 เห็นสมควรโดยพลการหาได้ไม่ เพราะในบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าแม้มีการมอบอำนาจให้นิติกรหรือทนายความประนีประนอมยอมความก็ให้นิติกรหรือทนายความเสนอขออนุมัติต่อโจทก์ทุกครั้งไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยที่จำเลยในคดีดังกล่าวต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 1 รู้ว่าจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ชำระเงินแก่โจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้โดยสมบูรณ์ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นเอกสารบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลและหนังสือย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลจึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งโจทก์จะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ แก่จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แต่อย่างใด และโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นประกอบถามค้านจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นพยานจำเลยที่ 3 ในเวลาที่จำเลยที่ 1 เบิกความแล้วเอกสารดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และการที่โจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวก็เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1กระทำผิดหน้าที่โดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ เป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เช่นนี้เท่ากับเป็นการนำสืบว่าหนังสือรับสภาพหนี้ มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์จริง อันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีตามฟ้องโจทก์ หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ เมื่อประเด็นสาระสำคัญแห่งคดีโดยตรงซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในประเด็นข้อนี้ และเพื่อมิให้คดีล่าช้าจึงให้จำเลยทั้งสามนำสืบก่อนในทุกประเด็นข้ออื่นด้วยนั้น นับว่าชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 และทำหน้าที่เป็นทนายความในคดีของโจทก์จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการเข้าทำงานของจำเลยที่ 1เมื่อ พ.ศ. 2512 โจทก์ฟ้องบริษัทเหมืองแร่ทวีทรัพย์ จำกัดกับพวกรวม 3 คน ขอให้ชำระค่ากระแสไฟฟ้า ฯลฯ และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยบริษัทเหมืองแร่ทวีทรัพย์ จำกัดกับพวก ยอมชำระเงินจำนวน 477,280.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2512 จนกว่าจะชำระเสร็จรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความ 500 บาทแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 130/2512ของศาลชั้นต้น ต่อมาบริษัทเหมืองแร่ทวีทรัพย์ จำกัด กับพวกไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงบังคับคดีโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นทนายความ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยที่ 1ได้ตกลงกับบริษัทเหมืองแร่ทวีทรัพย์ จำกัด กับพวกว่าให้ชำระเงินให้โจทก์เพียง 477,280.75 บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความอีก 500 บาท เมื่อโจทก์ได้รับเงินครบถ้วนแล้วจะถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมด การที่จำเลยที่ 1 ตกลงดังกล่าวเป็นการกระทำไปโดยลำพังมิได้รับอนุญาตจากโจทก์หรือได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ตกลงเช่นนั้น อันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับดอกเบี้ยคิดเป็นเงิน349,494.55 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1รับผิดต่อโจทก์ด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวน 349,494.55 บาท ให้โจทก์โดยปราศจากเงื่อนไขวิธีการชำระแล้วแต่โจทก์จะกำหนด ซึ่งต่อมาโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 349,494.55 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ให้เป็นทนายความมีอำนาจประนีประนอมยอมความได้ จำเลยที่ 1 ได้ตกลงไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้ประมาทเลินเล่อ โจทก์ไม่เสียหายจึงไม่มีอะไรต้องรับสภาพหนี้ จำเลยที่ 1 ทำหนังสือดังกล่าวขึ้นโดยหลงผิดในกลอุบายหลอกลวงของผู้อื่น จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า การกระทำของจำเลยที่ 1ตามฟ้องได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ตามใบแต่งทนายความ มิใช่เป็นการประมาทเลินเล่อร้ายแรง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์โจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงมากกว่าจำเลยที่ 1 เพราะไม่ดำเนินการบังคับคดีในเวลาอันควร ความเสียหายที่จำเลยที่ 2ต้องรับผิดชอบไม่เกิน 1,000 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า การที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับบริษัทเหมืองแร่ทวีทรัพย์ จำกัด กับพวก เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้กระทำโดยความประมาทเลินเล่อ หากจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหายก็ถือว่าความเสียหายนั้นเกิดจากโจทก์เอง เพราะโจทก์ได้มอบอำนาจในทางจำหน่ายสิทธิของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 3ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีผลผูกพันเพราะหนี้มิได้มีอยู่หรือเกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางคนึงเนตร พรหมเลิศ ภริยาของจำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานตำแหน่งนิติกรของโจทก์ ตามคำสั่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเอกสารหมาย จ.1 และ จ.14 โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.13 โจทก์ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นทนายความชั้นบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 130/2512 ของศาลชั้นต้นตามเอกสารหมาย ล.1 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยที่ 1กับจำเลยคดีดังกล่าวได้ตกลงกันว่าให้จำเลยคดีดังกล่าวชำระต้นเงินพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์โดยไม่คิดดอกเบี้ยแล้วโจทก์จะถอนการยึดทรัพย์ที่ได้ยึดไว้นั้น ตามเอกสารหมาย ล.7จำเลยคดีดังกล่าวได้ชำระหนี้ตามข้อตกลงนั้นแล้วได้มีการถอนการยึดทรัพย์ที่โจทก์ได้ยึดไว้นั้น ต่อมาโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการบังคับคดีในส่วนดอกเบี้ยอีก จำนวน 349,494.55 บาท จำเลยที่ 1ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้จำเลยคดีดังกล่าวชำระดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามเอกสารหมาย ล.10 และ ล.11ต่อมาโจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนจำเลยที่ 1 กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1ตกลงหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยคดีดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการของโจทก์ ตามเอกสารหมาย ล.4 และวันที่ 21กรกฎาคม 2523 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ตามเอกสารหมาย จ.2แก่โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ ตามเอกสารหมาย จ.3ถึง จ.8 และภายหลังโจทก์ได้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไล่ออก ตามคำสั่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เอกสารหมาย ล.13
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาประการแรกมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 3 กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำบรรยายในฟ้องเป็นการขัดแย้งกันในตัว เห็นว่าฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันความเสียหายของจำเลยที่ 1 ขณะปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยลำพังมิได้รับอนุญาตหรือได้รับมอบหมายจากโจทก์อันเป็นความประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายอย่างร้ายแรง คิดเป็นเงินจำนวน 349,494.55 บาท จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่ชำระให้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ จึงถือว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้วหาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองดังที่จำเลยที่ 3 อ้างในคำแก้ฎีกาไม่ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ประการที่สอง คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ จำเลยที่ 3กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความละเมิดหนึ่งปีแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าความให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์เป็นตัวการและจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1รับผิดฐานะเป็นตัวแทนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมมีอายุความฟ้องร้องสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) หาใช่เป็นกรณีละเมิดที่ต้องใช้อายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420, 448 ดังที่จำเลยที่ 3 กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาไม่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ประการที่สาม หนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 เกิดขึ้นเพราะโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยที่ 1 ทำขึ้นโดยปราศจากมูลหนี้อันพึงอ้างได้โดยชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าเมื่อโจทก์ได้ทำบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาล เอกสารหมาย จ.9 และจ.10 ไปยังหน่วยงานที่จำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ว่า ทนายความต้องเสนอขออนุมัติต่อผู้ว่าการของโจทก์ก่อนทำการประนีประนอมยอมความทุกครั้งจำเลยที่ 1 ก็ต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เมื่อจำเลยที่ 1 ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีที่โจทก์บังคับคดีแก่บริษัทเหมืองแร่ทวีทรัพย์ จำกัด กับพวก เป็น จำเลย โดยจำเลยที่ 1ไม่ขออนุมัติจากผู้ว่าการของโจทก์ก่อนจนโจทก์ไม่อาจเรียกดอกเบี้ยจำนวน 349,494.55 บาท จากจำเลยคดีดังกล่าวได้ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงและเมื่อจำเลยที่ 1 รู้ว่ากระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 ชำระเงินจำนวน 349,494.55 บาท แก่โจทก์โดยสมัครใจจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ เห็นว่าเมื่อโจทก์ได้ทำบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลให้นิติกรหรือทนายความของโจทก์ทราบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2516ตามเอกสารหมาย จ.9 ก่อนที่จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2519 ซึ่งได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนิติกรของโจทก์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2519 ตามคำสั่งจ้างและคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งเอกสารหมาย จ.1 และ จ.14 ว่าแม้ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอำนาจให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตาม หากจะประนีประนอมยอมความแล้วให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะประนีประนอมยอมความต่อผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทน แล้วให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนเสนอขออนุมัติต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ก่อนทุกครั้ง ได้ความจากนายวีระ ปิตรชาติ ผู้ว่าการโจทก์ยืนยันว่า บันทึกวิธีปฏิบัติตามเอกสาร จ.9 ได้เวียนไปให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดโจทก์ทราบแล้ว นายชาญ ศิระศุภะ ผู้อำนวยการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 2 ภาค 4 จังหวัดนครศรีธรรมราช และนายอักษร สินธุประมา รองผู้ว่าการโจทก์ต่างเบิกความยืนยันว่าระเบียบและคำสั่งต่าง ๆ รวมทั้งเอกสารหมาย จ.9 ได้รวบรวมไว้เป็นเล่มแต่ละปี สามารถตรวจสอบได้ง่ายและนิติกรทุกคนได้ทราบวิธีปฏิบัติตามเอกสารหมาย จ.9 แล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2522 ก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2522 นั้น โจทก์ก็ได้ย้ำปรับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลให้ทนายความของโจทก์ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ 1 ด้วยให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ตามเอกสารหมาย จ.10 อีก การที่จำเลยที่ 1 ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์2522 โดยมิได้เสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อนายอภิชาติ อัครกุล ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเพื่อขออนุมัติต่อโจทก์ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลอันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1จะอ้างเพียงว่า เมื่อในใบแต่งทนายความ เอกสารหมาย ล.1 ให้จำเลยที่ 1มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้แล้วจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่ 1 เห็นสมควรโดยพลการหาได้ไม่ เพราะในบันทึกเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 ระบุไว้ชัดแจ้งว่าแม้มีการมอบอำนาจให้นิติกรหรือทนายความประนีประนอมยอมความได้ก็ตามก็ให้นิติกรหรือทนายความเสนอขออนุมัติต่อโจทก์ทุกครั้งไปการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ย จำนวน 349,494.55 บาท ที่จำเลยในคดีดังกล่าวต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษา ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 รู้ว่าจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ชำระเงินจำนวน 349,494.55 บาท แก่โจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.2 หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้โดยสมบูรณ์ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าจำเลยที่ 1 ถูกโจทก์หลอกลวงให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ เอกสารหมาย จ.2 นั้นก็มีเพียงจำเลยที่ 1 เท่านั้นเบิกความว่าถูกนายวรกิตติ์ ทองนพเนื้อ กรรมการสอบสวนของโจทก์บอกว่าหากจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ชำระเงินที่ขาดแล้วโจทก์คงให้ทำงานต่อไปโดยหักเงินเดือนชำระ แต่เมื่อทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้วโจทก์กลับให้ชำระทั้งหมดทันทีนั้นก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งมิได้นำนายวรกิตติ์ ทองนพเนื้อ มาเบิกความสนับสนุนให้เห็นว่า เป็นความจริงดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ที่ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเลินเล่อและหนังสือรับสภาพหนี้ เอกสารหมาย จ.2 ไม่มีผลใช้บังคับได้นั้นจึงฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยที่ 3 แก้ฎีกาว่าโจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 ให้แก่จำเลยที่ 3 และมิได้ถามค้านพยานจำเลยที่ 3ไว้ก่อน จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ทั้งการที่โจทก์นำสืบพยานเอกสารดังกล่าวโดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการฝ่าฝืนระเบียบนั้น เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนั้นเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งโจทก์จะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้น ๆแก่จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90แต่อย่างใด และโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นประกอบถามค้านจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพยานจำเลยที่ 3 ในเวลาที่จำเลยที่ 1 เบิกความแล้ว เอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน นอกจากนั้น การที่โจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวก็เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดหน้าที่โดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ เป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 ยอมชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ เช่นนี้เท่ากับเป็นการนำสืบว่าหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์จริงอันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีตามฟ้องโจทก์ หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามฟ้อง
ประการที่สี่ จำเลยทั้งสามต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่เพียงใดเมื่อได้วินิจฉัยในประการที่สามแล้วว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้ตามจำนวนในหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.2 แก่โจทก์แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.13 ก็ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้องด้วย
ประการที่ห้า การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในทุกประเด็น ชอบหรือไม่ จำเลยที่ 3 กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาว่าประเด็นข้อ 3 เป็นส่วนหนึ่งของประเด็นข้อ 4 อันเป็นประเด็นสำคัญหน้าที่นำสืบก่อนทุกประเด็นจึงต้องตกแก่โจทก์ เห็นว่า เมื่อประเด็นข้อ 3 เป็นประเด็นสาระสำคัญแห่งคดีโดยตรงซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในประเด็นข้อนี้ และเพื่อมิให้คดีล่าช้า จึงให้จำเลยทั้งสามนำสืบก่อนในทุกประเด็นข้ออื่นด้วยนั้น นับว่าชอบแล้วข้อคัดค้านของจำเลยที่ 3 ที่กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 349,494.55บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share