คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1852/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์มีทรัพย์พิพาทจำนองเป็นประกันโดยผู้ร้องยินยอมและให้ผู้ร้องมีสิทธิเบิกจ่ายเงินจากบัญชีได้เพื่อนำเงินมาลงทุนทำการค้าขายพืชไร่ร่วมกัน ถือว่าเป็นหนี้ร่วมอันเกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490(3) ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนของผู้ร้องจากทรัพย์พิพาทที่ขายทอดตลาด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีพร้อมด้วยดอกเบี้ย ศาลพิพากษาตามยอมภายหลังจำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 69, 96 และ 26 ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และ น.ส.3เลขที่ 74, 292 และ 317 ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลตากฟ้า (ตาคลี)อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และโฉนดที่ดินเลขที่ 14629, 14830, 14628, 14805 และ 14816 ตำบลตาคลีอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ระหว่างอยู่กินด้วยกันมีสินสมรสคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 14629 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินมีโฉนดเลขที่ 14830 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 14628 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 14805 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 14816พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินมี น.ส.3 เลขที่ 69, 96, 26, 292, 74และ 317 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ทรัพย์ดังกล่าวเป็นส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่ง จึงขอให้กันส่วนทรัพย์สินของผู้ร้องไว้กึ่งหนึ่งก่อนแล้วจึงนำเอาทรัพย์สินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 อีกกึ่งหนึ่งออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาต่อไป
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้ต่อโจทก์และนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองไว้นั้นได้รับความยินยอมจากผู้ร้อง และจำเลยที่ 2 ได้นำเงินที่ได้จากการเบิกเงินเกินบัญชีไปประกอบธุรกิจการค้าหารายได้มาจัดกิจการอันจำเป็นในครอบครัวเพื่ออุปการะเลี้ยงดูครอบครัวและนำมาหมุนเวียนทางการค้าตามปกติกับผู้ร้องร่วมกัน จึงเป็นหนี้ร่วมผู้ร้องจึงขอกันส่วนที่ดินหรือส่วนได้ในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มาเป็นสินสมรสในคดีนี้ไม่ได้ขอให้มีคำสั่งยกคำร้องขอกันส่วนของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาจำเลยที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมาย ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมายร.1 ศาลได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์จำนวน 13,955,609.92 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์จึงบังคับคดี โดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องที่จำนองไว้แก่โจทก์และเป็นทรัพย์พิพาทในคดีนี้ เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องมีว่าผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนทรัพย์พิพาทไว้กึ่งหนึ่งเป็นของผู้ร้องได้หรือไม่ ผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 2เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2508 ปรากฏตามใบสำคัญสมรสเอกสารหมาย ร.1ทรัพย์พิพาททั้งหมดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องจำเลยทั้งสามจะเป็นหนี้โจทก์ค่าอะไร ผู้ร้องไม่ทราบ ผู้ร้องไม่ได้เกี่ยวข้องกับนิติกรรมจำนองที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ ประมาณปี2518 ผู้ร้องได้แยกกันอยู่กับจำเลยที่ 2 ตลอดมา ผู้ร้องจึงไม่ได้ร่วมทำการค้ากับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้เลี้ยงดูผู้ร้องและบุตรที่เกิดด้วยกัน ในวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทผู้ร้องไม่อยู่ เพิ่งทราบหลังจากยึดแล้ว เห็นว่า ที่ผู้ร้องอ้างว่าแยกกันอยู่กับจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ปี 2518 แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการสมรสแต่อย่างใด จึงต้องถือว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ ฝ่ายโจทก์นำสืบว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์และนำทรัพย์พิพาทมาจำนองไว้แก่โจทก์นั้นผู้ร้องได้ให้ความยินยอมด้วย ปรากฏตามเอกสารหมายจ.1 และ จ.2 ผู้ร้องเคยสั่งจ่ายเช็คเพื่อเบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 2 ด้วย ตามเอกสารหมาย จ.5หรือ ร.14 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 509/2526 ของศาลชั้นต้นผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ประกอบอาชีพค้าขายพืชไร่ร่วมกัน ที่ผู้ร้องปฏิเสธลายมือชื่อในช่องภรรยาผู้ให้ความยินยอมในเอกสารหมายจ.1 และ จ.2 ว่า จะใช่ของผู้ร้องหรือไม่ จำไม่ได้และไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้ร้อง ตามลำดับนั้น นายอาคม ภมะราภา ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ประจำสาขาตาคลี และลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารหมาย จ.1 เบิกความว่า ในระหว่างปี 2520 ถึง 2521พยานดำรงตำแหน่งสมุห์บัญชี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาตาคลีพยานรู้จักผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลยที่ 2ผู้ร้องประกอบอาชีพค้าพืชไร่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อธนาคารโจทก์ มีผู้ร้องเป็นผู้ลงลายมือชื่อยืนยันในการทำสัญญาตามหนังสือยินยอมเอกสารหมายจ.1 เงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินในบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 2 ให้ไว้ว่า ให้จำเลยที่ 2 หรือผู้ร้องคนใดคนหนึ่งสามารถเบิกจ่ายเงินจากบัญชีได้ โดยบุคคลทั้งสองได้ให้ตัวอย่างลายมือชื่อไว้ต่อธนาคารโจทก์ตามตัวอย่างลายมือชื่อเอกสารหมาย ร.13ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 509/2526 ของศาลชั้นต้น และผู้ร้องเป็นผู้ให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง ตามหนังสือยินยอมเอกสารหมาย จ.2 ด้วย เมื่อตรวจดูลายมือชื่อของผู้ร้องในใบแต่งทนายความและในคำเบิกความเป็นพยาน ปรากฏว่าผู้ร้องลงลายมือชื่อ 2 แบบ คล้ายกัน เปรียบเทียบกับลายมือชื่อในช่องภรรยาผู้ให้ความยินยอมในเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 และลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.5 แล้วปรากฏว่าลักษณะและลีลาการเขียนคล้ายกันมากเชื่อว่าเป็นลายมือเขียนของบุคคลคนเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างพยานหลักฐานของผู้ร้องกับของโจทก์แล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุผลมั่นคงดีกว่าข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2และสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้ค่ารถบรรทุกนายเชิดชัยตามเช็คเอกสารหมาย ร.14ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 509/2526 ของศาลชั้นต้นจริง การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและให้ผู้ร้องสามารถเบิกจ่ายเงินจากบัญชีได้ด้วย และจำนองทรัพย์พิพาทไว้แก่โจทก์ ย่อมมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องร่วมกันกระทำการดังกล่าวเพื่อนำเงินมาลงทุนทำการค้าขายพืชไร่ร่วมกันถือว่าเป็นหนี้ร่วมอันเกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(3) จำเลยที่ 2 กับผู้ร้องต้องร่วมกันรับผิด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนของผู้ร้องจากทรัพย์พิพาท”
พิพากษายืน

Share