คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7311/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยร่วมที่ 1 ทำหนังสือมีข้อความว่า “ตามที่จำเลยได้รับหมายเรียกจากศาลเพื่อดำเนินคดีในการใช้และมีโทรศัพท์มือถือพิพาทของโจทก์ไว้ในครอบครองโดยได้รับแจ้งจากโจทก์ให้นำเครื่องส่งมอบคืนและชำระหนี้ที่ยังคงค้างชำระอยู่นั้น จำเลยได้ส่งมอบคืนให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 20กุมภาพันธ์ 2533 โดยส่งคืนผ่านทางจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 เพื่อนำมอบให้แก่โจทก์ หากมีการดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด จำเลยร่วมที่ 1จะเป็นผู้รับผิดชอบร่วม” นั้น เป็นคำเสนอของจำเลยร่วมที่ 1ทำให้เกิดสัญญาระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมที่ 1 โดยจำเลยร่วมที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาดังกล่าว การที่จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกาว่าราคาวิทยุคมนาคมมีราคาเครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท มิใช่ราคา 97,000 บาท เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยตกลงชำระค่าเช่าวิทยุคมนาคมพิพาทพร้อมอุปกรณ์และค่าเช่าหมายเลขเครื่องวิทยุคมนาคมรวมค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกรมไปรษณีย์โทรเลข หากจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองคืนเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทให้แก่โจทก์ทันทีที่โจทก์บอกเลิกสัญญา โจทก์ย่อมสามารถนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยได้รับค่าเช่าในอัตราดังกล่าวได้ การที่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองไม่ส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าในอัตราดังกล่าว แม้โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการให้เช่าวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทจนกว่าจะได้รับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืน การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์คิดถึงวันฟ้องพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นการพิพากษาให้จำเลยร่วมและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยของต้นเงินซึ่งถึงกำหนดชำระแล้วนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์หรือชดใช้ราคา เป็นการพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่า นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงไม่เป็นการกำหนดค่าเสียหายซ้ำซ้อนกันแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบเครื่องวิทยุและอุปกรณ์คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้งานได้ หากส่งคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคา97,900 บาท และให้จำเลยชำระเงินจำนวน 38,444.77 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,350 บาท หรือวันละ 78.33 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องวิทยุและอุปกรณ์คืนหรือชดใช้ราคาให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่านายบุญส่ง ศุภวัชรเสรีกุล และนายธีระนิติรัตน์ เป็นผู้นำเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทมาให้จำเลยโดยแจ้งว่าสามารถซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์เครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทได้จำเลยตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่อาจซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ได้เนื่องจากเป็นเพียงการเช่าเครื่องใช้บริการกับโจทก์ จำเลยจึงคืนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทให้แก่นายบุญส่งและขอให้นายบุญส่งนำสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 มาคืนให้จำเลยจำเลยได้คืนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทไปตั้งแต่วันที่ 20กุมภาพันธ์ 2533 แล้ว ตามบันทึกเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2และ 3 จำเลยไม่ได้ใช้บริการเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทในการพูดหรือเรียกเข้ามายังเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทเลย จึงไม่ต้องชำระค่าเช่าใช้บริการและค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์ ปัจจุบันเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์มีราคาไม่เกิน 40,000 บาทเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทมิใช่ทรัพย์สินของโจทก์เป็นทรัพย์สินของบริษัทกรุงเทพ (2525) จำกัด ที่โจทก์เช่ามาให้บุคคลอื่นเช่าต่อ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้ชดใช้ราคา ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนายบุญส่งศุภวัชรเสรีกุล และนายธีระ นิติรัตน์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1และที่ 2 ตามลำดับ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมที่ 1 ให้การว่า เครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทเป็นของบริษัทกรุงเทพ (2525) จำกัด ไม่ใช่ของโจทก์ เครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทอยู่ที่จำเลยร่วมที่ 2 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยร่วมที่ 1รับผิดต่อโจทก์ เครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทมีสภาพเก่าราคาไม่เกิน20,000 บาท จำเลยร่วมที่ 1 เป็นเพียงสื่อกลางให้จำเลยเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยร่วมที่ 2 นำมาให้เช่ากับโจทก์จำเลยร่วมที่ 1 ไม่เคยใช้เครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าใช้บริการให้แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยไม่เคยแจ้งให้จำเลยร่วมที่ 1 ทราบว่ามีการค้างชำระค่าเช่าเพื่อให้โอกาสจำเลยร่วมที่ 1 ระงับหรือบรรเทาความเสียหาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วโจทก์และจำเลยสามารถระงับการเช่าใช้บริการดังกล่าวและเลิกสัญญาได้ แต่โจทก์ประมาทเลินเล่อปล่อยปละละเลยให้มีการค้างชำระค่าเช่าเกิน 2 เดือน และไม่ติดตามเรียกเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทคืนจากผู้ครอบครอง จำเลยร่วมที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 2 ให้การว่า โจทก์เช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทจากบริษัทกรุงเทพ (2525) จำกัด โจทก์ไม่ใช่เจ้าของเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยร่วมที่ 2ให้ส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทหรือชดใช้ราคาให้แก่โจทก์ปัจจุบันเครื่องวิทยุคมนาคมมีราคาซื้อขายเพียงเครื่องละไม่เกิน15,000 บาท จำเลยร่วมที่ 2 มิได้เป็นผู้ทำสัญญาเช่าใช้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่ากับโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าใช้บริการ จำเลยร่วมที่ 2 มิได้ครอบครองเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาท จึงไม่มีหน้าที่ต้องส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทให้โจทก์หรือใช้ราคาแทนจำเลยร่วมที่ 2 มิได้เป็นผู้ติดต่อหรือรู้เห็นร่วมกับจำเลยร่วมที่ 1 ในการนำเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทไปให้จำเลยเช่า จำเลยร่วมที่ 2 ไม่เคยได้รับเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทคืนจากจำเลยร่วมที่ 1 หรือจำเลยเพื่อนำไปคืนให้แก่โจทก์จำเลยร่วมที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์ที่เช่าไปคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้งานได้ดี หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 97,900 บาทให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระเงิน 38,444.77 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2535) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จโดยให้จำเลยร่วมที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ในต้นเงินดังกล่าวเพียง 27,318.27 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,350 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์หรือชดใช้ราคา
จำเลยร่วมที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยทำสัญญาเช่าใช้บริการเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทจากโจทก์ตามสัญญาเช่าใช้บริการเครื่องวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่าเอกสารหมาย จ.3โดยตกลงชำระค่าเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทพร้อมอุปกรณ์ให้โจทก์เป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ 1,850 บาท กับค่าเช่าหมายเลขเครื่องวิทยุคมนาคมรวมค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ 500 บาท จำเลยได้รับเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปจากโจทก์โดยจำเลยร่วมที่ 2เป็นผู้ดำเนินการให้ ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยไม่ประสงค์จะเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทต่อไปและได้คืนเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทให้จำเลยร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ติดต่อให้จำเลยร่วมที่ 2 ดำเนินการให้จำเลยทำสัญญาเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทกับโจทก์ แต่จำเลยร่วมที่ 2 มิได้คืนเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทให้แก่โจทก์ กลับนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปใช้เป็นการส่วนตัวต่อไปในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2533 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2534 โจทก์นำเงินประกันสัญญาจำนวน 3,000 บาทที่จำเลยวางไว้กับโจทก์ขณะทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.3 ไปหักชำระหนี้ค่าเช่าใช้บริการที่ค้างชำระและมีหนังสือตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.5 ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่าใช้บริการที่ค้างชำระจำนวน 11,106.50 บาท พร้อมบอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทคืนให้แก่โจทก์ โจทก์เช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทมาจากบริษัทกรุงเทพ (2525) จำกัดตามสัญญาเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมเอกสารหมาย จ.7 บริษัทดังกล่าวได้เอาประกันภัยเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทไว้กับบริษัทนิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ จำกัด ในวงเงิน 97,900 บาทตามสำเนาใบส่งของและใบคำขอเอาประกันภัยเอกสารหมาย จ.8หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยร่วมที่ 1 ทำหนังสือเอกสารหมายล.3 ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยซึ่งจำเลยได้แนบสำเนาหนังสือดังกล่าวของจำเลยร่วมที่ 1 เป็นเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกตามที่จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยร่วมที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 รับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ในปัญหานี้ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์หนังสือเอกสารหมาย ล.3 ที่จำเลยร่วมที่ 1 ได้ทำขึ้นแล้ว ปรากฏว่าหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า ตามที่จำเลยได้รับหมายเรียกจากศาลเพื่อดำเนินคดีในการใช้และมีโทรศัพท์มือถือพิพาทของโจทก์ไว้ในครอบครองโดยได้รับแจ้งจากโจทก์ให้นำเครื่องส่งมอบคืนและชำระหนี้ที่ยังคงค้างชำระอยู่นั้น จำเลยได้ส่งมอบคืนให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 โดยส่งคืนผ่านทางจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 เพื่อนำมอบให้แก่โจทก์หากมีการดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดจำเลยร่วมที่ 1 จะเป็นผู้รับผิดชอบร่วมจึงเป็นคำเสนอของจำเลยร่วมที่ 1 ที่จะร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ การที่จำเลยนำสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ล.3 มาแนบท้ายคำให้การของจำเลยเป็นเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3 และขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยนั้นเป็นการสนองรับคำเสนอดังกล่าวของจำเลยร่วมที่ 1 ทำให้เกิดสัญญาระหว่างจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ซึ่งจำเลยร่วมที่ 1 ยอมร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ดังนั้นเมื่อจำเลยต้องส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์ หากส่งคืนไม่ได้ต้องใช้ราคา และต้องรับผิดใช้เงินค่าเช่าที่ค้างชำระกับค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทนั้นให้แก่โจทก์จำเลยร่วมที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1ดังกล่าวนั้นด้วย ฎีกาของจำเลยร่วมที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกาว่า หากไม่สามารถคืนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทให้โจทก์ได้ จำเลยร่วมที่ 1 ต้องใช้ราคาแทนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทนั้นตามราคาทรัพย์เครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท มิใช่ในราคา 97,000 บาทนั้น เห็นว่าคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยร่วมที่ 1ข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกาในทำนองว่า หลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จนกว่าจะได้รับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์พิพาทคืนนั้น เห็นว่าจำเลยได้ตกลงชำระค่าเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทพร้อมอุปกรณ์ในอัตราเดือนละ 1,850 บาท กับค่าเช่าหมายเลขเครื่องวิทยุคมนาคมรวมค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ 500 บาท จึงฟังได้ว่าหากจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองคืนเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมสามารถนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทนั้นไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยได้รับค่าเช่าในอัตราดังกล่าวได้ การที่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองไม่ส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์ย่อมทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าในอัตราค่าเช่าดังกล่าวดังนั้น แม้โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทแก่จำเลยแล้วโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการให้เช่าเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทจนกว่าจะได้รับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนได้ส่วนที่จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ใช้ค่าขาดประโยชน์และกำหนดให้ชำระดอกเบี้ยด้วยเป็นการซ้ำซ้อนและไม่ชอบนั้น เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 27,338.27 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จเป็นการพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าใช้ตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาเช่าจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน27,338.27 บาท โดยให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวซึ่งถึงกำหนดชำระแล้วนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จด้วย ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,350 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์หรือชดใช้ราคานั้น เป็นการพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าใช้นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จึงไม่ใช่เป็นการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ใช้ค่าขาดประโยชน์และดอกเบี้ยซ้ำซ้อนกันอันเป็นการไม่ชอบแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยร่วมที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share