คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7308/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การให้เช่าซื้อเป็นธุรกิจหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในธุรกิจการค้าอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ดังที่ได้ระบุไว้ตามหนังสือรับรอง แม้โจทก์จะไม่มีสินค้าของตนเอง แต่ก็อาจนำเอาสินค้ามาให้ลูกค้าทำการเช่าซื้อได้ โดยทำสัญญาเช่าซื้อกันไว้ล่วงหน้า ให้มีผลบังคับกันได้ ในเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์ทั้งมิได้มีข้อจำกัดว่าเมื่อไม่มีสินค้าของตนเองแล้วจะประกอบธุรกิจการค้าประเภทนี้ไม่ได้ จำเลยก็ยอมรับข้อเสนอของโจทก์ในอันที่จะผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อและทราบถึงวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ ทั้งยังได้ยอมรับเอาเงื่อนไขต่าง ๆ รวมทั้งการชำระหนี้อันเป็นผลโดยตรงที่คู่กรณียอมรับนับถือและพึงใช้บังคับต่อกันตามข้อสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นนิติกรรมที่ใช้บังคับแก่คู่กรณีได้ มิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ตู้ที่เช่าซื้อแก่โจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 433,787.63 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน 64,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายเดือนละ 8,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ตู้คืนหรือใช้ราคา

จำเลยที่ 1 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคา 310,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2539 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายให้โจทก์ต่อไปอีกเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแต่ไม่เกิน 4 เดือน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเฉพาะจำเลยที่ 2ให้ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ทราบ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ให้จำหน่ายคดีของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลคดีของจำเลยที่ 2

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า หนังสือสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ยังมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ โจทก์ประกอบธุรกิจให้บุคคลทั่วไปกู้ยืมเงินเพื่อชำระค่าเช่าซื้อแก่บริษัทผู้ขายรถยนต์ โจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่แท้จริงคือการกู้ยืมเงิน ส่วนสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นนิติกรรมอำพราง เห็นว่า การให้เช่าซื้อเป็นธุรกิจหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในธุรกิจการค้าอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดดังที่ได้ระบุไว้ตามหนังสือรับรอง ข้อ 5 แม้โจทก์จะไม่มีสินค้าของตนเอง แต่ก็อาจนำเอาสินค้ามาให้ลูกค้าทำการเช่าซื้อได้ โดยทำสัญญาเช่าซื้อกันไว้ล่วงหน้าให้มีผลบังคับกันได้ ในเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์ ทั้งมิได้มีข้อจำกัดว่าเมื่อไม่มีสินค้าของตนเองแล้วจะประกอบธุรกิจการค้าประเภทนี้ไม่ได้ จำเลยที่ 1 ก็ยอมรับข้อเสนอของโจทก์ในอันที่จะผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อ และทราบถึงวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์เป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้ยอมรับเอาเงื่อนไขต่าง ๆ รวมทั้งการชำระหนี้อันเป็นผลโดยตรงที่คู่กรณียอมรับนับถือและให้พึงใช้บังคับต่อกันตามข้อสัญญาดังกล่าว ดังนี้หนังสือสัญญาเช่าซื้อ จึงเป็นนิติกรรมที่ใช้บังคับแก่คู่กรณีได้ มิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share