แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตออกไปจากที่ดินของโจทก์กับเรียกค่าเสียหาย จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดี ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ส่วนหนึ่ง กับคดีมีทุนทรัพย์อีกส่วนหนึ่ง ประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 5,000 บาท แก่โจทก์ ไม่มีคู่ความอุทธรณ์โต้แย้งว่า ศาลชั้นต้นกำหนดจำนวนค่าเสียหายดังกล่าวสูงหรือต่ำเกินไป เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีในส่วนฟ้องขับไล่ ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 2,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ถือได้ว่าในขณะยื่นคำฟ้องที่ดินของโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาคำแถลงของ ส. เจ้าพนักงานผู้รังวัดที่ดินซึ่งแถลงต่อศาลชั้นต้นแล้ววินิจฉัยว่า ส. ได้รังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยไปตามหลักวิชา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เจ้าพนักงานผู้รังวัดได้รังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยตามคำท้าทุกประการ จำเลยฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงตามคำท้าของโจทก์และจำเลย คำแถลงของ ส. ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่ารับฟังเป็นพยานคนกลาง เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ฎีกาของจำเลยข้อที่เหลือเป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยยกขึ้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยแล้ว ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยใช้เงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระเงินปีละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนและออกไปจากที่ดินพิพาท
ระหว่างพิจารณา ในวันนัดจำเลยมาให้การและสืบพยาน คู่ความตกลงท้ากันขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกรังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยซึ่งมีเขตติดต่อกัน โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินจากทิศตะวันออกลากเป็นเส้นตรงมายังทิศตะวันตก ให้ถือแผนที่พิพาทท้ายรายงานกระบวนพิจารณา กับแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.6) ในการรังวัดนั้นให้ถือหมายเลข 1 ถึงหมายเลข 3 กว้าง 30 วา หมายเลข 2 ถึงหมายเลข 4 กว้าง 30 วา โดยเส้นแนวรังวัดตามหมายเลข 1 ถึงหมายเลข 2 ต้องเป็นเส้นตรง หากรังวัดแล้วทั้งสองฝ่ายยอมรับแนวเขตเป็นแนวเขตที่ถูกต้อง หากมีสิ่งก่อสร้างฝ่ายใดรุกล้ำเข้าไป ฝ่ายนั้นจะต้องรื้อถอนออกไปภายใน 15 วัน และผลการรังวัดให้ถือเป็นข้อแพ้ชนะในคดี โจทก์และจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากัน ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยกับทำแผนที่พิพาท ตามแผนที่พิพาทท้ายหนังสือของสำนักงานที่ดินอำเภอไทรโยค
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนเสารั้วคอนกรีตและขนย้ายออกไปจากที่ดินตามรูปแผนที่เส้นสีแดง ที่ดินส่วนที่พิพาทมีเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 21 ตารางวา ตามหนังสือที่ กจ 0619/390 และรูปแผนที่ท้ายหนังสือของสำนักงานที่ดินอำเภอไทรโยค หากไม่ดำเนินการให้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากจำเลย ให้จำเลยชำระเงิน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าว และชำระค่าเสียหายอีกปีละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนด แล้วพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนเสารั้วคอนกรีตและขนย้ายออกไปจากที่ดินตามรูปแผนที่เส้นสีแดง เนื้อที่ดินส่วนที่พิพาท 1 ไร่ 2 งาน 21 ตารางวา ตามหนังสือที่ กจ. 0619/390 และรูปแผนที่ท้ายหนังสือของสำนักงานที่ดินอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี หากไม่ดำเนินการให้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากจำเลย ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าว และชำระค่าเสียหายอีกปีละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตออกไปจากที่ดินของโจทก์กับเรียกค่าเสียหาย จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดี จึงถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ส่วนหนึ่ง กับคดีมีทุนทรัพย์อีกส่วนหนึ่งปนกันมา สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 5,000 บาท แก่โจทก์ ไม่มีคู่ความอุทธรณ์โต้แย้งว่า ศาลชั้นต้นกำหนดจำนวนค่าเสียหายดังกล่าวสูงหรือต่ำเกินไป จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ส่วนคดีฟ้องขับไล่ ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 2,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ย่อมถือได้ว่าในขณะยื่นคำฟ้องที่ดินของโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้า จำเลยอุทธรณ์ว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยไม่เป็นไปตามคำท้า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาคำแถลงของนายสมศักดิ์ เจ้าพนักงานผู้รังวัดที่ดิน ซึ่งแถลงต่อศาลชั้นต้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น กับที่นายสมศักดิ์มาแถลงยืนยันต่อศาลชั้นต้นอีกครั้งหนึ่งว่า รูปแผนที่เส้นสีแดงเป็นรูปแผนที่ที่ถูกต้อง การรังวัดครั้งนี้มีการใช้กล้องสำรวจและประมวลผลส่องเพื่อหาแนวเส้นพิกัดและใช้เทปวัดระยะด้วย ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น แล้ววินิจฉัยว่า นายสมศักดิ์ได้รังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยไปตามหลักวิชา แม้นายสมศักดิ์จะทำรูปแผนที่เส้นสีเขียวไว้ด้วย แต่นายสมศักดิ์ก็แถลงต่อศาลว่า รูปแผนที่ทำขึ้นตามที่จำเลยนำชี้เพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานรังวัดและทำแผนที่ตามที่ทั้งสองฝ่ายต่างนำชี้ดังที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้าน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เจ้าพนักงานผู้รังวัดได้รังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยตามคำท้าทุกประการ จำเลยฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงตามคำท้าของโจทก์และจำเลย คำแถลงของนายสมศักดิ์ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่ารับฟังเป็นพยานคนกลางได้ จึงเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ส่วนฎีกาของจำเลยข้อที่เหลือเป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยยกขึ้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยให้ดังกล่าวแล้ว ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งและเมื่อศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ