แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์บรรยายรายละเอียดไว้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์หลายครั้ง รวม 60 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 673,301 บาท จำเลยทั้งสองให้การว่า “คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับใบสั่งซื้อตั้งแต่รายการที่ 1 ถึงรายการที่ 60 ไม่ปรากฏคำสั่งซื้อของจำเลยทั้งสองและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ลงนามรับสินค้าจากโจทก์ โจทก์จะได้ขายสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยทั้งหมดหรือรายการใดรายการหนึ่งหรือไม่ ไม่ขอรับรอง” คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าเลยทั้งสองยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ส่วนคำให้การของจำเลยทั้งสองว่า “โจทก์จะได้ขายสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยทั้งหมดหรือรายการใดรายการหนึ่งหรือไม่ ไม่ขอรับรอง” แปลได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 อาจซื้อสินค้าไปจากโจทก์จริงดังฟ้องก็ได้ ส่วนคำให้การที่มีมาก่อนหน้านั้นที่ว่า “ไม่ปรากฏคำสั่งซื้อขายของจำเลยทั้งสอง และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ลงนามรับสินค้าจากโจทก์” เป็นฟ้องขยายความให้การที่ว่าไม่ขอรับรองเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยืนยันปฏิเสธ คำให้การของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ไปรวม 60 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 673,301 บาท
หนี้แต่ละรายการถึงกำหนดชำระไม่พร้อมกัน ในทางพิจารณาโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าหนี้ตามใบส่งของ / ใบเสร็จรับเงินแต่ละรายการนั้น คำนวณเป็นดอกเบี้ยผิดนัดจนถึงวันฟ้องได้รายละเท่าใด และไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะคำนวณให้ ที่ศาลชั้นต้นคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดของหนี้แต่ละรายให้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๗๖๕,๘๗๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ
๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๗๓,๓๐๑ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าสินค้าตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.๓๒ ถึง จ.๖๒ (ตรงกับใบสั่งซื้อฉบับที่ ๓๐ ถึง ๖๐) ขาดอายุความแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระราคาสินค้าบางส่วนแก่โจทก์หรือไม่อีก แต่จำเลยทั้งสองยังต้องชำระราคาสินค้าตามใบส่งของตามเอกสารหมาย จ.๓ ถึง จ.๓๑ แก่โจทก์รวมเป็นเงิน ๒๕๐,๗๒๑.๒๕ บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๕๐,๗๒๑.๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๓๖) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาข้อกฎหมายประเด็นแรกว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองข้อ ๒ เป็นคำให้การปฏิเสธที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง หรือไม่ ข้อความที่เป็นปัญหาดังกล่าวนี้ จำเลยทั้งสองให้การว่า “คำฟ้องของโจทก์ข้อ ๓ เกี่ยวกับใบสั่งซื้อแต่รายการที่ ๑ ถึงรายการที่ ๖๐ ไม่ปรากฏคำสั่งซื้อของจำเลยทั้งสองและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ลงนามรับสินค้าจากจากโจทก์แต่อย่างใด โจทก์จะได้ขายสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยทั้งหมดหรือรายการใดรายการหนึ่งหรือไม่ ไม่ขอรับรอง คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน คำให้การของจำเลยทั้งสองที่ว่า “โจทก์จะได้ขายสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยทั้งหมดหรือรายการใดรายการหนึ่งหรือไม่ ไม่ขอรับรอง” แปลได้ว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ อาจซื้อสินค้าไปจากโจทก์จริงดังฟ้องก็ได้ ส่วนคำให้การที่มีมาก่อนหน้านั้นที่ว่า “ไม่ปรากฏคำสั่งซื้อของจำเลยทั้งสอง และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการ ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ลงนามรับสินค้าจากโจทก์” เป็นฟ้องขยายความคำให้การที่ว่าไม่ขอรับรองเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยืนยันปฏิเสธ คำให้การของจำเลยทั้งสองข้อ ๒ จึงเป็นคำให้การปฏิเสธทีไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ไปรวม ๖๐ รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๖๗๓,๓๐๑ บาท
ประเด็นที่ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกได้นับแต่วันผิดนัดนั้น เนื่องจากหนี้แต่ละรายถึงกำหนดชำระไม่พร้อมกัน ในทางพิจารณาโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า หนี้ตามใบส่งของ / ใบเสร็จรับเงิน แต่ละรานั้น คำนวณเป็นดอกเบี้ยผิดนัดจนถึงวันฟ้องได้รายละเท่าใด และไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะคำนวณให้ ที่ศาลชั้นต้นคำนวณเบี้ยผิดนัดของหนี้แต่ละรายให้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกา