คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 730/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เอกสารการขอเลื่อนกำหนดการชำระหนี้ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อ้างมีความหมายอย่างแจ้งชัดว่าเป็นการขอต่อเวลาสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี หรือขอต่อสัญญาบัญชีเดินสะพัดออกไปอีก หาใช่เป็นการเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี หรือเลิกบัญชีเดินสะพัดกันไม่ ธนาคารผู้ขอรับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้ขอได้รับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และตามตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 15,242,404.63 บาท จากกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายตาม มาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ โดยมีเงื่อนไขว่าหากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากนายประกอบปัญญาวรานันท์ ผู้ค้ำประกันตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและผู้สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วเพียงใด ก็ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ลดลงเพียงนั้น ส่วนที่ขอรับชำระหนี้เกินมาเป็นเงิน 516,072.26 บาท นั้นให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 15,758,476.89 บาท ตามที่ขอมา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเท่านั้น

คดีได้ความว่า บริษัทปัญญาวัฒน์ (2510) จำกัด ผู้ล้มละลายได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด ในวงเงิน ห้าล้านบาทและได้ทำหนังสือต่ออายุสัญญาครั้งที่ 12 มีกำหนด 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2520 จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2521 หลังจากนั้นยังได้ตกลงด้วยวาจาขอผ่อนชำระหนี้ออกไปอีก 3 ปี ครั้นวันที่ 23 มิถุนายน 2521 บริษัทปัญญาวัฒน์ (2510) จำกัด ก็ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดธนาคารกรุงเทพ จำกัด จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีได้จนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคสอง และพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 100

ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เพราะได้มีการบอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและหักทอนบัญชีเดินสะพัดกันตามเอกสารคำขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2520 แล้วธนาคารจึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราปกติไม่ทบต้นเป็นรายเดือน นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2510 จนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เอกสารคำขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อ้างนั้น มีข้อความสำคัญ 2 ประการ คือเป็นการยอมรับสภาพหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2520 เป็นเงิน 7,400,516.96 บาทประการหนึ่ง และเป็นการขอยืดกำหนดเวลาใช้คืนเงินเบิกเกินบัญชีออกไปอีก เพราะบริษัทผู้ล้มละลายยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้เพื่อหมุนเวียนในกิจการต่อไปอีกประการหนึ่ง ซึ่งมีความหมายอย่างแจ้งชัดว่าเป็นการขอต่อเวลาสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี หรือขอต่อสัญญาบัญชีเดินสะพัดออกไปอีกนั่นเอง หาใช่ว่าเป็นการเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีหรือเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันในวันที่ 28 กันยายน 2520 ดังที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาไม่ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ธนาคารกรุงเทพจำกัด ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เป็นเงิน 8,580,396.05 บาท จึงเป็นการชอบแล้ว และเมื่อรวมกับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับอีกเป็นเงิน 3,447,396 บาท และ 3,730,684.84 บาท จึงเป็นจำนวนหนี้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ชอบจะได้รับชำระหนี้ทั้งสิ้นเป็นเงิน15,758,476.89 บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share