คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ตามคำฟ้องและคำขอของโจทก์ จะไม่มีข้อความพาดพิง ถึงจำเลยร่วมเลยก็ตาม แต่เมื่อปรากฏจากคำให้การจำเลยทั้งสองว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วกรมที่ดินได้จดทะเบียนที่พิพาทเป็นทรัพย์ส่วนกลาง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของอาคารชุด “แกรนวิลเฮาส์ 2” จำเลยร่วมกรณีจึงมีเหตุจำเป็นที่จะเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(3)(ข) โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ได้สิทธิทางภารจำยอมในที่ดินซึ่งจำเลยร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาโดยอายุความ ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์จดทะเบียนภารจำยอมได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1391.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน โฉนดเลขที่ 6326 แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ทิศใต้จดที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 ซึ่งเป็นทางออกสู่ถนนสุขุมวิท 19 โจทก์ได้ใช้ทางดังกล่าวเป็นทางเข้าออกและระบายน้ำสู่ถนนสุขุมวิท 19 โดยเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวมิได้หวงห้ามหรือขัดขวางตลอดมาเป็นเวลาถึง21 ปีแล้ว ที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 จึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6325 และ 6327 โดยซื้อจากเจ้าของเดิมเมื่อปี 2524โดยทราบดีว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 ตกเป็นทางภาวะจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ แต่ก็ยังใช้สิทธิโดยไม่สุจริตปิดกั้นทางเข้าออกของโจทก์ทำให้โจทก์และบริวารเดือดร้อนเข้าออกไม่ได้ เป็นการละเมิดสิทธิในการใช้ทางภาระจำยอมของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกจากทางภาระจำยอม ให้จดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 เป็นทางภาระจำยอม มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะหยุดการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวหรือทำการรอนสิทธิในภาระจำยอมอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ขอจดทะเบียนอาคารชุดต่อกรมที่ดินโดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 6325 และ 6327 เป็นทรัพย์ส่วนกลางกรมที่ดินได้รังวัดและรับจดทะเบียน และได้ออกหนังสือสำคัญการจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดให้ ที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 ที่เป็นทางพิพาท จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนิติบุคคลอาคารชุด เป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ต้องห้ามมิให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินอีกต่อไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 10 จำเลยทั้งสองมิใช่เจ้าของที่ดินจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ในการจดทะเบียนภาระจำยอมแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอให้เรียกนิติบุคคลอาคารชุด “แกรนวิลเฮ้าส์ 2” เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาติ
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมกับจำเลยทั้งสองไม่มีนิติสัมพันธ์ไม่มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดีร่วมกันตามคำฟ้องและคำขอของโจทก์ก็ไม่มีข้อความพาดพิงถึงจำเลยร่วม ไม่มีกรณีที่โจทก์จะฟ้องไล่เบี้ยและเรียกค่าทดแทนจากจำเลยร่วม ศาลจะบังคับจำเลยร่วมไม่ได้ เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นและเกินคำขอขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เป็นภารยทรัพย์ในการเดินของคนและยวดยานพาหนะของที่ดินโฉนดเลขที่ 6326 ของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมเข้ายุ่งเกี่ยวหรือทำการรอนสิทธิในภาระจำยอม คำขออื่นให้ยก
โจทก์ จำเลยทั้งสอง และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมไปจดทะเบียนในที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 6326 ของโจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยร่วม ให้ยกคำของโจทก์ที่ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมเข้ายุ่งเกี่ยวหรือทำการรอนสิทธิในภาระจำยอม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยร่วมในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นิติบุคคลอาคารชุด”แกรนวิลเฮ้าส์ 2” เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2ตามคำร้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และศาลจะพิพากษาให้จำเลยร่วมจดทะเบียนภาระจำยอมตามฟ้องได้หรือไม่
สำหรับปัญหาข้อแรกจำเลยร่วมฎีกาว่า เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 แต่จำเลยที่ 1 ให้การว่าที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 เป็นของจำเลยร่วม โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยที่ 1 หรือจำเลยร่วมแยกจากกันดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ตามคำร้องของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าแม้ว่าตามคำฟ้องและคำขอของโจทก์จะไม่มีข้อความพาดพิงถึงจำเลยร่วมเลยก็ตาม แต่เมื่อปรากฏจากคำให้การจำเลยทั้งสองว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6327เดิมเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วกรมที่ดินได้รับจดทะเบียนที่พิพาทเป็นทรัพย์ส่วนกลาง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของอาคารชุด “แกรนวิลเฮาส์ 2” จำเลยร่วม กรณีจึงมีเหตุจำเป็นที่จะเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (ข)คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้ว
ส่วนปัญหาข้อหลัง จำเลยร่วมฎีกาว่าศาลไม่อาจพิพากษาให้จำเลยร่วมจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 เป็นทางภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโจท์ได้เพราะนอกจากที่ดินแปลงดังกล่าวจะเป็นทรัพย์ส่วนกลางของบรรดาเจ้าของรวม ไม่ใช่ของจำเลยร่วมจำเลยร่วมเป็นเพียงนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด มีหน้าที่จัดการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางและมีอำนาจกระทำการใด ๆ ได้เฉพาะเพื่อประโยชน์ตามวันถุประสงค์เท่านั้น และต้องเป็นไปตามมติของเจ้าของรวมด้วยแล้ว จำเลยร่วมยังต้องห้ามมิให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินแลงดังกล่าวตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 10 ด้วยพิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าเดิมจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6325 และ 6327ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำการก่อสร้างอาคารชุดและขอจดทะเบียนอาคารชุดในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ทางราชการได้จดทะเบียนให้ในนามนิติบุคคลอาคารชุด “แกรนวิลเฮ้าส์ 2″ ซึ่งก็คือจำเลยร่วมนั่นเองส่วนทางภาระจำยอมตามฟ้องอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 จากข้อเท็จจริงที่ฟังได้ดังกล่าว จึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวนั้นต่อจากจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่เดิม เห็นว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ได้สิทธิทางภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6327 ซึ่งจำเลยร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาโดยอายุความ ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์จดทะเบียนภาระจำยอมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้นั้นชอบแล้ว ส่วนปัญหาว่าจำเลยร่วมอยู่ในฐานะต้องห้ามมิให้จดทะเบียนภาระจำยอมตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 10หรืไม่ เห็นว่า ปัญหานี้ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อจำเลยร่วมฎีกายกปัญหานี้ขึ้นมาโดยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ ปัญหานี้จึงยุติแล้วตั้งแต่ในชั้นศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน.

Share