แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่2และผู้เสียหายรู้จักกันมาก่อนจำเลยทั้งสองชวนผู้เสียหายไปรับประทานอาหารด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยกันเช่นนี้จึงเป็นธรรมดาที่ผู้เสียหายจะเชื่อถือและไว้วางใจจำเลยที่2ไม่คิดว่าจะถูกจำเลยที่2พาไปข่มขืนกระทำชำเราเมื่อผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปจึงยังไม่รู้และไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือและเมื่อไปถึงบริเวณทุ่งนาที่เปลี่ยวจำเลยที่2ทำร้ายร่างกายโดยตบหน้าผู้เสียหายและพูดขู่ว่าถ้าไม่ยอมให้ร่วมประเวณีก็จะพาเพื่อนอีก10คนมาร่วมกันข่มขืนผู้เสียหายจึงเกิดความกลัวไม่กล้าขัดขืนและร้องขอความช่วยเหลือและหากผู้เสียหายยินยอมจริงแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่ทันทีที่พบบิดาผู้เสียหายผู้เสียหายก็เล่าเรื่องให้บิดาฟังและพาบิดาไปตามหาจำเลยที่2จนพบและแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่2จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 310, 318, 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 310 วรรคหนึ่ง, 318 วรรคสามประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจำคุกคนละ 15 ปี ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุกคนละ 1 ปีและฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจำคุกคนละ 3 ปี รวม 3 กระทงจำคุกคนละ 19 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 12 ปี 8 เดือน
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 พรากนางสาว ก.ผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงกับหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย จำเลยที่ 2ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย เห็นว่า ในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 มานั้นไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่เที่ยวงานวันกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งจัดที่อำเภอโคกโพธิ์กับเพื่อนชื่อนางสาวฮาหวอ ดอเลาะ เนื่องจากคนมาเที่ยวในงานมากจึงพลัดหลงกันและขณะที่เดินตามหาเพื่อนอยู่นั้นได้พบกับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อน จำเลยทั้งสองชวนผู้เสียหายไปรับประทานอาหารที่ร้านข้างสถานีรถไฟ เสร็จแล้วจำเลยทั้งสองรับจะพาผู้เสียหายไปส่งที่บริเวณหน้างานเพื่อผู้เสียหายจะตามหานางสาวฮาหวอโดยพากันนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 2 เป็นคนขับผู้เสียหายนั่งตรงกลาง ส่วนจำเลยที่ 1 นั่งหลังสุด จำเลยที่ 2ไม่ได้พาผู้เสียหายไปส่งที่บริเวณหน้างาน กลับพามุ่งหน้าไปทางจังหวัดปัตตานี ระหว่างทางเป็นที่มืด จำเลยที่ 2 เลี้ยวรถเข้าไปตามถนนดินแดง ซึ่งเป็นบริเวณทุ่งนาที่เปลี่ยว จำเลยที่ 2จอดรถแล้วลากผู้เสียหายลงจากรถพร้อมกับตบหน้าผู้เสียหายและพูดขู่ว่าถ้าไม่ยอมให้ร่วมประเวณีก็จะพาเพื่อนอีก 10 คน มาร่วมกันข่มขืน จำเลยที่ 2 ถอดกางเกงของผู้เสียหายออกแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ ต่อจากนั้นจำเลยที่ 1 เข้ามาชกท้องผู้เสียหายแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่เช่นกัน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองพาผู้เสียหายไปพักที่โรงแรมสันติสุข ห้องหมายเลข 311 ในวันรุ่งขึ้น จำเลยทั้งสองพาผู้เสียหายไปส่งที่คิวรถยนต์โดยสารโคกโพธิ์ โจทก์ยังมีนายเจะหะ อาลี บิดาผู้เสียหายเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายไปเที่ยวกับเพื่อนชื่อนางสาวฮาหวอ และคืนนั้นไม่กลับบ้านมากลับเอาวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ผู้เสียหายเล่าว่าถูกจำเลยทั้งสองพาไปข่มขืนกระทำชำเราโดยบังคับขู่เข็ญและทำร้ายร่างกายนายเจะหะจึงให้ผู้เสียหายพาไปตามหาจำเลยทั้งสอง พบจำเลยทั้งสองอยู่ในบริเวณงานวันกำนันผู้ใหญ่บ้านจึงแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสอง ซึ่งสิบตำรวจโทบุญเรือง เรืองสวัสดิ์ ผู้จับจำเลยทั้งสองก็เบิกความว่าผู้เสียหายและบิดาพาไปจับจำเลยทั้งสองได้แจ้งข้อหาว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากต่างเบิกความสอดคล้องกัน ไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำให้ร้ายจำเลยที่ 2 จึงมีน้ำหนักและเหตุผลน่าเชื่อถือแม้ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 จะให้การภาคเสธว่าผู้เสียหายยินยอมก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หาได้มีพยานหลักฐานใดสนับสนุนไม่ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่า หากผู้เสียหายไม่ยินยอมจำเลยที่ 2คงไม่กล้าพาผู้เสียหายไปตามถนนสายนาเกตุ-ปัตตานี ซึ่งต้องผ่านค่ายทหารที่หน้าค่ายมีป้อมทหารอยู่นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2และผู้เสียหายรู้จักกันมาก่อน จำเลยที่ 2 ชวนผู้เสียหายไปรับประทานอาหารที่ร้านข้างสถานีรถไฟ ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยกันเช่นนี้ จึงเป็นธรรมดาที่ผู้เสียหายจะเชื่อถือและไว้วางใจจำเลยที่ 2 ไม่คิดว่าจะถูกจำเลยที่ 2 พาไปข่มขืนกระทำชำเราดังนั้น เมื่อผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปจึงยังไม่รู้และไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ และเมื่อไปถึงบริเวณทุ่งนาที่เปลี่ยวจำเลยที่ 2 ทำร้ายร่างกายโดยตบหน้าผู้เสียหายและพูดขู่ว่าถ้าไม่ยอมให้ร่วมประเวณีก็จะพาเพื่อนอีก 10 คน มาร่วมกันข่มขืนผู้เสียหายจึงเกิดความกลัว ไม่กล้าขัดขืนและร้องขอความช่วยเหลือและหากผู้เสียหายยินยอมจริงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ทันทีที่พบบิดาผู้เสียหาย ผู้เสียหายก็เล่าเรื่องให้บิดาฟังและพาบิดาไปตามหาจำเลยที่ 2 จนพบและแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2ที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างในฎีกาอีกว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขอเช่าที่พักในโรงแรม พนักงานโรงแรมขอดูบัตรประจำตัวประชาชนคงไม่มีคนร้ายรายใดที่จะยินยอมให้ดูบัตรประจำตัวประชาชนภายหลังจากที่ได้กระทำความผิดเช่นคดีนี้ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 2 ยอมให้พนักงานของโรงแรมดูบัตรประจำตัวประชาชนก็เพราะจำเลยที่ 2ต้องการเข้าพักในโรงแรมซึ่งเป็นระเบียบของโรงแรมที่จะต้องตรวจดูบัตรประชาชนของผู้เข้าพักเสียก่อนเท่านั้น ทางโรงแรมหามีหน้าที่สืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดอันจะทำให้จำเลยที่ 2 ต้องเกรงกลัวและปิดบังอำพรางตัวเองซึ่งเพิ่งกระทำความผิดมาแต่ประการใดไม่ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่อาจยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยที่ 2 และไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน