คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่ศ.นำหมายนัดไปส่งให้แก่จำเลยที่1นั้นจำเลยที่1ยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเมื่อหาบ้านจำเลยที่1ไม่พบก็สมควรที่จะให้โจทก์ยืนยันภูมิลำเนาของจำเลยที่1เสียใหม่หากโจทก์ยืนยันแล้วยังส่งไม่ได้อีกจึงจะมีการปิดหมายเจ้าพนักงานบังคับคดีใช้วิธีการประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายนัดโดยวิธีธรรมดาทั้งๆที่การส่งหมายโดยวิธีธรรมดายังทำได้อยู่ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา79วรรคหนึ่งถือได้ว่าจำเลยที่1ไม่ทราบประกาศขายทอดตลาดการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไปโดยไม่แจ้งให้ทราบซึ่งคำสั่งศาลและวันขายทอดตลาดแก่จำเลยที่1ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296วรรคสองและมาตรา306

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 14,000 บาท และให้ร่วมกันส่งมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่คืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 32,000 บาท แทน จำเลยทั้งสองไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสมยศ กีรติวุฒิกุล ผู้ซื้อทรัพย์ในราคา 4,450,000 บาท
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
นายสมยศ กีรติวุฒิกุล ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดยื่นคำคัดค้านว่า ขายทอดตลาดที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมาย ผู้คัดค้านเป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินพิพาทสูงกว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการแจ้งการยึดทรัพย์และกำหนดวันนัดขายทอดตลาดแก่จำเลยที่ 1 และผู้มีส่วนได้เสียให้ถูกต้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 304 และมาตรา 306
ผู้คัดค้าน ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่าการประกาศผลแจ้งการยึดและวันขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีทางหนังสือพิมพ์เป็นการชอบหรือไม่นางสาวรัตนาจำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 30/2 ถนนทุ่งดอนแตง ตำบลตลาด อำเภอเมืองจันทบุรีจังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่ปี 2533 ถึง 2535 บ้านหลังดังกล่าวอยู่ริมถนน หาง่าย อยู่ในศูนย์การค้ามหาราช นางสาวกนกพร งามกิจเบิกความสนับสนุนจำเลยที่ 1 ว่า พยานเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทมหาราชการเคหะ จำกัด บริษัทมเหสักข์บ้านและที่ดินจำกัด และบริษัทนิวโอลีน จำกัด บริษัททั้งสามตั้งอยู่ที่เลขที่30/2 ถนนทุ่งดอนแดง ตำบลตลาด อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรีตามเอกสารหมาย ปล.1 ถึง ปล.3 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533จำเลยที่ 1 ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเลขที่ 30/2 ตามเอกสารหมาย ปล.7เมื่อมีการนำเอกสารไปส่งให้แก่โครงการศูนย์การค้ามหาราชจะส่งที่บ้านเลขที่ 30/2 ถนนทุ่งดอนแดง และจะส่งถึงทุกครั้งนางณัฐกุล แถลงศรี พยานจำเลยที่ 1 ซึ่งรับราชการที่ศาลจังหวัดจันทบุรี เบิกความว่า เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่7 ตุลาคม 2536 (ที่ถูกเป็น 2535) ได้นำหมายนัดของศาลแพ่งไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 การส่งหมายครั้งนั้นส่งโดยวิธีปิดหมายที่บ้านเลขที่ 30/2 ถนนทุ่งดอนแดง ตำบลตลาด อำเภอเมืองจันทบุรีจังหวัดจันทบุรี ลักษณะบ้านเป็นตึกชั้นเดียว เขียนว่าศูนย์การค้ามหาราชหน้าบ้านอยู่ติดถนน นายจำนงค์ ถึงบุญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่กรมบังคับคดี ตำแหน่งนิติกร 7 หัวหน้าฝ่าย 1กองบังคับคดีแพ่ง 1 เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 1 ว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยที่ 1 โดยศาลจังหวัดจันทบุรีเป็นผู้ส่งหมายแจ้งการยึดให้จำเลยที่ 1 ทราบ ตามรายงานว่าส่งไม่ได้ หลังจากนั้นจึงแจ้งโดยประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์สายกลาง ก่อนแจ้งทางหนังสือพิมพ์โจทก์ไม่ได้แจ้งให้สืบหาภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ส่วนนายศิริ สืบจากมี พยานผู้คัดค้านเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ว่า ขณะที่ไปส่งหมายแก่จำเลยที่ 1พยานรับราชการอยู่ที่ศาลจังหวัดจันทบุรีประมาณ 1 ปี และตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 22 เมษายน 2535 เอกสารหมาย ปจ.1ที่พยานนำหมายไปส่งนั้นก็บันทึกเพียงว่า หาบ้านจำเลยที่ 1ไม่พบ ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันเชื่อได้ว่าขณะที่นายศิรินำหมายนัดไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ยังมีชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้านตามเอกสารหมาย ปล.7 จริง เมื่อหาบ้านจำเลยที่ 1ไม่พบก็สมควรที่จะให้โจทก์ยืนยันภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 เสียใหม่หากโจทก์ยืนยันแล้วยังส่งไม่ได้อีกจึงจะมีการปิดหมายเจ้าพนักงานบังคับคดีใช้วิธีการประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายนัดโดยวิธีธรรมดา ทั้ง ๆ ที่การส่งหมายโดยวิธีธรรมดายังทำได้อยู่ ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคหนึ่ง ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทไม่ทราบประกาศขายทอดตลาด การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไปโดยไม่แจ้งให้ทราบซึ่งคำสั่งศาลและวันขายทอดตลาดแก่จำเลยที่ 1 ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง และมาตรา 306ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนปัญหาที่ว่าการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้ราคาต่ำหรือไม่จึงไม่ต้องวินิจฉัย ฎีกาผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share