แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องตอนแรกกล่าวว่าจำเลยรับมอบทรัพย์ไปแล้วยักยอกเสียหรือมิฉะนั้นจำเลยทุจริตแต่แรกใช้อุบายหลอกลวงให้ส่งทรัพย์โดยเอาความเท็จมากล่าวให้เจ้าทรัพย์ส่งทรัพย์ให้ อ้างบทลงโทษขอให้ลงโทษฐานยักยอกและฉ้อโกงนั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะการที่จะทราบว่าจำเลยทุจริตหรือไม่นั้น เป็นเรื่องในใจของจำเลยและไม่มีทางที่จะถือว่าจำเลยไม่เข้าใจฟ้องหรือหลงข้อต่อสู้
ย่อยาว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า กลางวันวันที่ 17 กันยายน 2488 จำเลยได้รับมอบธนบัตรจีนเป็นเงิน 20,000 เหรียญคิดเป็นเงินไทย 3,600บาท โดยจำเลยรับจะเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยให้ ระหว่างวันที่ 17 ถึง 20 เดือนเดียวกับจำเลยได้ยักยอกเสีย หรือมิฉะนั้นในวันที่ 17 ที่กล่าวแล้ว จำเลยทุจริตแต่แรกใช้อุบายหลอกลวงนายซุ่ยไฮ้โดยเอาความเท็จมากล่าว นายซุ่ยไฮ้หลงเชื่อมอบธนบัตรจีนให้จำเลยไป ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 และ 314
จำเลยให้การภาคเสธว่า รับเงินไปจริงเพียง 2,000 เหรียญและต่อสู้ในข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์บรรยายความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกขัดกัน ไม่เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงตอนแรกว่าจำเลยรับมอบธนบัตรจีนไปแลกเป็นเงินไทยแล้วยักยอกเสีย แต่แล้วกลับกล่าวว่า หรือมิฉะนั้นจำเลยทุจริตแต่แรกใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าว นายซุ่ยไฮ้หลงเชื่อมอบธนบัตรจีนให้ไป เป็นการกล่าวข้อเท็จจริงขัดแย้งกัน ไม่อาจเข้าใจได้ว่า หาว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด พิพากษากลับศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้กล่าวชัดเจนแล้วว่า จำเลยได้รับมอบธนบัตรจีนโดยจำเลยรับว่าจะเอาไปแลกเป็นเงินไทยให้ ใคร ๆ รวมทั้งจำเลยด้วยย่อมเข้าใจว่าจำเลยรับจะเอาไปแลกให้ ส่วนความตั้งใจว่าจะเอาไปแลกให้หรือไม่หรือว่าเพียงแต่หลอกเพื่อมอบให้ธนบัตรจีนให้นั้น เป็นความในใจซึ่งจำเลยทราบดีกว่าใคร ๆ ไม่มีทางที่จำเลยอาจจะไม่เข้าใจฟ้องอันจะพึงเป็นเหตุให้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใด ส่วนในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าได้มีการมอบธนบัตรกันถึง 20,000 เหรียญจริงดังฟ้อง คงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์