คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7278/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์จะให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงโดยอ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีมาทำการบังคับคดีเป็นการไม่ชอบ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ช้ากว่า8 วัน นับแต่ทราบการฝ่าฝืน เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีดังกล่าวแล้วมิได้ยื่นคำขอให้ยกเลิกการบังคับคดีจนการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการบังคับคดีได้อีก แม้คำพิพากษาในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีแต่เมื่อการบังคับคดีมีผลกระทบต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ว่าจะเป็นการร้องขัดทรัพย์หรือขอให้เพิกถอนการบังคับคดี หากโจทก์ไม่ดำเนินการ หรือดำเนินการไม่ถูกต้องย่อมไม่มีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีนั้น ๆ ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 259/2531 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้นไม่ผูกพันโจทก์ การยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2457 ตำบลคลองขลุงอำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร การขายทอดตลาดที่ดินและอาคารที่ยึดไว้โดยไม่ชอบดังกล่าว และการออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 2457รวมทั้งการจดทะเบียนสิทธิในใบแทนนั้นไม่ผูกพันโจทก์และใช้ยันโจทก์ไม่ได้
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ซื้อทรัพย์พิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต หลังจากจำเลยที่ 3ซื้อทรัพย์ดังกล่าวแล้วโจทก์ขัดขวางมิให้จำเลยที่ 3 เข้าครอบครองทรัพย์พิพาท แม้โจทก์จะเป็นผู้มีชื่อในโฉนดเลขที่ 2457 แต่โจทก์หาได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว เพราะโจทก์เป็นตัวแทนของนายวิโรจน์และนางวัชรีไม่ทราบนามสกุลพี่เขยและพี่สาวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซื้อทรัพย์ดังกล่าวจากนายวิโรจน์และนางวัชรีซึ่งโจทก์และนายวิโรจน์กับนางวัชรีได้มอบการครอบครองให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงได้สร้างบ้านเลขที่ 182/3 ขึ้นในที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2457 ซึ่งมีบ้านเลขที่ 182/3 ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภรรยากัน ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2หย่าขาดจากกัน และจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อขอแบ่งสินสมรสได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้แบ่งสินสมรสและศาลมีคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 259/2531 ของศาลชั้นต้นในการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2457 พร้อมบ้านเลขที่ 182/3 ดังกล่าว ซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทอ้างว่า เป็นสินสมรสที่มีชื่อบุคคลภายนอกครอบครองแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยึดเพื่อดำเนินการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไป โจทก์ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องโจทก์มิได้อุทธรณ์หลังจากนั้นได้นำทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาด จำเลยที่ 3 เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์พิพาทได้จากการขายทอดตลาด แต่โฉนดที่ดินอยู่ที่โจทก์ศาลชั้นต้นหมายเรียกโจทก์มาสอบถามเพื่อส่งโฉนดที่ดิน โจทก์คัดค้านการส่งโฉนดที่ดิน ศาลชั้นต้นสั่งให้ออกใบแทนโฉนดที่ดิน แล้วโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์คดีนี้ให้ออกจากทรัพย์พิพาทและโจทก์คดีนี้ฟ้องแย้งว่าทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้เพิกถอนใบแทนโฉนดที่ดินตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 676/2534 ของศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2534 ให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้ง
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยประการแรกตามที่โจทก์ฎีกาข้อ 2 (ก) ว่า โจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 259/2531 ของศาลชั้นต้นที่ดำเนินการบังคับคดี โดยในคดีดังกล่าวไม่เคยส่งหมายบังคับคดีและไม่เคยแจ้งการยึดทรัพย์บังคับคดีเอากับที่ดินพิพาทไปให้โจทก์ทราบ มีเพียงหมายนัดพร้อมเพื่อสอบถามเท่านั้นกำหนดเวลาที่จะให้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกกระบวนการบังคับคดีเสียภายในไม่ช้ากว่า 8 วัน จึงไม่อาจเริ่มนับได้อำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีของโจทก์ย่อมไม่สิ้นไป เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น แล้วแต่กรณี อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ฯลฯ การบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 259/2531 ของศาลชั้นต้น แม้โจทก์จะมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว แต่โจทก์อ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทของโจทก์มาทำการบังคับคดีอันเป็นการไม่ชอบทำให้เสียหาย โจทก์จึงเป็นบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ซึ่งต้องเสียหายดังนั้น เมื่อโจทก์จะขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงดังกล่าว โจทก์ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ช้ากว่า 8 วันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น แต่โจทก์ได้ทราบการฝ่าฝืนดังกล่าวนั้นแล้วโดยได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2531 แล้วมิได้ยื่นคำขอให้ยกเลิกการบังคับคดีจนการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการบังคับคดีได้อีก
มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อ 2(ข) ว่า เมื่อคำพิพากษาในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี การบังคับคดีที่มีขึ้นก็ย่อมไม่ผูกพันโจทก์และใช้ยันโจทก์ไม่ได้ดุจกัน เห็นว่า แม้โจทก์เป็นบุคคลภายนอกคดี คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมไม่ผูกพันโจทก์ก็ตามแต่เมื่อการบังคับคดีมีผลกระทบต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ว่าจะเป็นการร้องขัดทรัพย์หรือขอให้เพิกถอนการบังคับคดี หากโจทก์ไม่ดำเนินการหรือดำเนินการไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ย่อมไม่มีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีนั้น ๆ ได้ หาใช่เป็นกรณีที่การบังคับคดีจะมีผลผูกพันโจทก์หรือไม่ดังโจทก์ฎีกา”
พิพากษายืน

Share