คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7275/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเพราะโจทก์ไม่พอใจจำนวนเงินค่่าทดแทนที่คณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำหนดราคาเบื้องต้นฯกำหนดโจทก์โจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้วแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายใน60วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์และโจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลภายใน1ปีนับแต่วันที่พ้นกำหนด60วันนับแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับคำอุทธรณ์ทั้งคดีไม่ปรากฎว่าโจทก์ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขจำนวนเงินค่าทดแทนดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยโดยไม่จำต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกครั้งหนึ่งก่อน สัญญาซื้อขายที่ดิน1งาน50ตารางวาและสัญญาซื้อขายที่ดิน12ตารางวาโจทก์และจำเลยทำต่างวันกันและเป็นคนละฉบับต่างกันอีกทั้งคำอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับลงวันที่21พฤษภาคม2534อุทธรณ์ขอให้เพิ่มค่าทดแทนที่ดิน1งาน50ตารางวาส่วนคำอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับลงวันที่19กันยายน2534ก็อุทธรณ์ขอให้เพิ่มค่าทดแทนเฉพาะที่ดิน12ตารางวาเป็นอีกฉบับหนึ่งต่างหากและเป็นคำอุทธรณ์ที่พ้นระยะเวลา60วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่ให้มารับเงินค่าทดแทนที่ดิน1งาน50ตารางวาดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าคำอุทธรณ์ค่าทดแทนที่ดินจำนวน12ตารางวาเป็นส่วนหนึ่งของคำอุทธรณ์ค่าทดแทนที่ดินจำนวน1งาน50ตารางวาเมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ภายในกำหนดโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องต่อศาลขอให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนในส่วนนี้เพิ่มขึ้น เมื่อปรากฎว่ามีการกำหนดค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะดังนี้การกำหนดเงินค่าทดแทนที่จะให้แก่โจทก์จึงต้องบังคับตามมาตรา21แห่งพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530ซึ่งตามมาตรา21(1)ให้กำหนดเงินค่าทดแทนโดยคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาออกตามมาตรา6ประกอบด้วยประการหนึ่งแต่ทั้งโจทก์และจำเลยนำสืบฟังไม่ได้ว่าราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของที่ดินโจทก์ที่จะต้องถูกเวนคืนตามที่เป็นอยู่่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาคือวันที่1มกราคม2531เป็นราคาเท่าไรส่วนที่โจทก์นำสืบราคาซื้อขายที่ดินรวม68โฉนดก็ปรากฎว่าทีดินดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงใหญ่อยู่ติดถนน3ด้านคือถนนเจริญกรุงถนนสีลมและถนนศรีเวียง แต่ที่ดินของโจทก์ติดซอยธนวัฒน์ มิได้ติดถนนใหญ่ทั้งระยะเวลาที่ซื้อขายก็เป็นเวลาภายหลังและห่างจากวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาถึง2ปีราคาประเมินก็เพียงตารางวาละ70,000บาทจึงไม่น่าเชื่อว่าราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของที่ดินโจทก์ในวันที่1มกราคม2531จะเป็นตารางวาละ252,800บาทที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับค่่าทดแทนที่ดินเพิ่มเป็นตารางวาละ150,000บาทนั้นจึงเป็นการกำหนดเงินค่าทดแทนโดยได้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามมาตรา21(1)ถึง(5)เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนและสังคมแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ทั้งศาลอุทธรณ์ก็มิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยและศาลอุทธรณ์พิพากษาในตอนท้ายว่านอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแสดงว่าศาลอุทธรณ์ยังคงให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่แต่อย่างไรก็ตามที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีคงที่นั้นไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26วรรคสามซึ่งบัญญัติให้โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากเงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน ส่วนจะได้รับอัตราเท่าใดต้องเป็นไปตามประกาศของธนาคารออมสิน ที่ประกาศอัตราดอกเบี้ยขึ้นลงแต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ7.5ต่อปีเนื่องจากโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาให้กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นจากที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางอามินา เช็คผู้ตาย ก่อนถึงแก่กรรมนางอามินา เช็ค เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 20796 ตำบลสีลม (สาธร) อำเภอบางรัก จังหวัดพระนครเนื้อที่่ 2 งาน 80 ตารางวา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2530 มีพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอปากเกร็ด อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และเขตบางเขนเขตดุสิต เขตพญาไท เขตประทุมวัน เขตบางรัก เขตยานนาวาเขตห้วยขวาง เขตบางกะปิ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2530ประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 โดยให้ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์และมีผลทำให้ที่ดินแปลงดังกล่าวของนางอามินาอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษระบบทางด่วนขึ้นที่ 2สายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่ เนื้อที่ 1 งาน 50 ตารางวา จำเลยได้กำหนดราคาเบื้องต้นของที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็น 2 อัตรา ซึ่งโจทก์เห็นว่าเงินค่าทดแทนดังกล่าวต่ำกว่าราคาที่เป็นจริงมากโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้พิจารณากำหนดเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นแก่โจทก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ที่ดินของโจทก์มีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดไม่ต่ำกว่าราคาตารางวาละ 300,000 บาท ในวันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวประกาศใช้บังคับ ดังนั้นที่่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนและที่ดินในส่วนที่จำเลยซื้อจากโจกท์จึงมีราคาไม่ต่ำกว่า 40,500,000 บาท จำเลยชำระเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์เพียง 7,650,000 บาท ทำให้โจทก์ขาดเงินค่าทดแทนที่ควรจะได้รับจากจำเลยอีกเป็นเงิน 32,850,000 บาท และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์เท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินคือร้อยละ10.5 ต่อปี ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าทดแทนอีก 32,850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.5 ต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้จัดการมรดกของนางอามินา เช็คผู้ตาย ขณะที่มีการเวนคืน ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นไม่ใช่ทรัพย์มรดกจำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่เวนคืนที่ดินจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ยื่นอุทธรณ์การกำหนดเงินค่าทดแทนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกิน 60 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งเป็นหนังสือให้มารับเงินค่าทดแทนอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนถึงที่สุด และเมื่อเจ้าหน้าที่เวนคืนประกาศแก้ไขราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และจำนวนเงินค่าทดแทนตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 ซึ่งโจทก์ได้รับเพิ่มขึ้นแล้ว โจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกา และโจทก์ไม่ไปขอรับเงินเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนดเงินค่าทดแทนการเวนคืนที่ดินให้โจทก์และซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนเนื้อที่ 12 ตารางวา เป็นไปตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่ดินในเขตบางรักของกรมที่ดิน จึงเป็นธรรมและชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และสำหรับราคาที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนเป็นราคาที่ดินที่มีการซื้อขายกันตามสัญญาซื้อขายธรรมดา มิใช่การซื้อขายในการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นอีก จำเลยชำระเงินค่าทดแทนที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมายให้แก่โจทก์และภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มและดอกเบี้ยตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนเพิ่ม5,980,773 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนเพิ่ม 8,190,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่20796 ตำบลสีลม อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เป็นทรัพย์มรดกของนางอามินา เช็ค ผู้ตาย ต่อมาโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางอามินาได้รับโอนที่ดินดังกล่าวที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่ 2 งาน80 2/10 ตารางวา อยู่ติดซอยธนวัฒน์ ถนนศรีเวียง วันที่ 31ธันวาคม 2530 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอปากเกร็ด อำเภอเมืองนนทบุรี และเขตบางเขต เขตดุสิต เขตพญาไท เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตยานนาวาเขตห้วยขวาง เขตบางกะปิ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2530มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2531 เนื่องจากมีความจำเลยที่จะต้องสร้างทางพิเศษระบบทางด่วนสายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่ และสายพญาไท – ศรีนครินทร์ ที่ดินแปลงดังกล่าวของนางอามินา อยู่ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ เนื้อที่ 1 งาน 50ตารางวา คณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนในท้องที่แขวงสี่พระยาแขวงสุริวงศ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร กำหนดเงินค่าทดแทนแก่โจทก์เป็น 2 อัตรา คือ ที่ดินส่วนที่อยู่ติดกับซอยธนวัฒน์ระยะ 20 เมตร มีเนื้อที่ 68 ตารางวา กำหนดให้ตารางวาละ 70,000 บาทเป็นเงิน 4,760,000 บาท ที่ดินส่วนที่อยู่ถัดไปเนื้อที่ 82ตารางวา กำหนดให้ตารางวาละ 25,000 บาท เป็นเงิน 2,050,000 บาทรวมค่าทดแทนที่ดินเนื้อที่ 1 งาน 50 ตารางวา เป็นเงิน 6,810,000 บาทจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2533 ขอเชิญโจทก์ไปติดต่อขอรับเงินค่าทดแทนตามเอกสารหมาย ล.5 วันที่ 25 มีนาคม 2534 นายนริศเช็ค ในฐานะผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทำสัญญาซื้อขายและค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนเนื้อที่ 1 งาน 50 ตารางวา ในราคาตามที่คณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำหนดราคาเบื้องต้นฯกำหนดกับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.4 และทำสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนที่เหลือของโจทก์จากการเวนคืนเนื้อที่ 12ตารางวา ในราคาตารางวาละ 70,000 บาท เป็นเงิน 840,000 บาท เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2534 ตามเอกสารหมาย จ.5 รวมเงินค่าทดแทนที่ดินที่ดินที่ถูกเวนคืนและขายให้แก่จำเลยเป็นเงินทั้งสิ้น 7,650,000 บาทโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งให้ไปรับเงินค่าทดแทนทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนคือที่ดิน 1 งาน 50 ตารางวา และไม้ยืนต้น 24 รายการ เป็นเงิน6,814,0945 บาท เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2534 ตามเอกสารหมาย ล.23โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนทรัพย์สินที่ถูกเวนคืน และที่ขายแก่จำเลยรวมเป็นเงิน 7,650,000 บาท จากจำเลย โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วันที่ 21 พฤษภาคม 2534 เพื่อขอให้เพิ่มเงินค่าทดแทนเฉพาะที่ดินที่ถูกเวนคืนเนื้อที่ 1 งาน 50 ตารางวา ตามเอกสารหมายจ.8 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับคำอุทธรณ์วันที่ 24 พฤษภาคม2534 ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2534 โจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขอให้เพิ่มเงินค่าทดแทน สำหรับที่ดินเนื้อที่12 ตารางวา ตามเอกสารหมาย จ.8 แผ่นที่ 4 และ 5 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชะลอการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้โจทก์ไปรับเงินเพื่อตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 44ต่อมามีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขราคาเบื้องต้น วันที่ 15 มิถุนายน2535 คณะกรรมการแก้ไขราคาเบื้องต้นประกาศกำหนดค่าทดแทนที่ดินจำนวน 1 งาน 50 ตารางวา ของนางอามินาที่ถูกเวนคืนเป็นเงิน17,479,227 บาทตามเอกสารหมาย ล.24 ไม่ปรากฎว่าโจทก์ทราบประกาศนี้เมื่อใด โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 31 มิถุนายน 2535 คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า หลังจากมีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 คณะกรรมการแก้ไขราคาเบื้องต้นประกาศกำหนดค่าทดแทนที่ดินจำนวน 1 งาน 50 ตารางวา ของนางอามินาที่ถูกเวนคืนเป็นเงิน 17,479,227 บาท โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นไปแล้วโดยมิได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกครั้งหนึ่งก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเพราะโจทก์ไม่พอใจจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนด โดยโจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว แต่รัฐมนตรีว่่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ และโจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับคำอุทธรณ์ ทั้งคดีไม่ปรากฎว่าโจทก์ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขจำนวนเงินค่าทดแทน ดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยโดยไม่จำต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกครั้งหนึ่งก่อน คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า คำอุทธรณ์ค่าทดแทนที่ดินจำนวน 12ตารางวา ที่โจทก์ขายแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 20 เป็นส่วนหนึ่งของคำอุทธรณ์ค่าทดแทนที่ดินจำนวน 1 งาน 50 ตารางวา อันทำให้ถือได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในกำหนด 60 วัน หรือไม่ เห็นว่า สัญญาซื้อขายที่ดิน 1 งาน 50 ตารางวาโจทก์และจำเลยทำสัญญากันวันที่ 25 มีนาคม2534 ตามเอกสาร จ.4 แต่สัญญาซื้อขายที่ดิน 12 ตารางวา ทำกันเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2534 ตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นคนละฉบับต่างกันและคำอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2534 ตามเอกสารหมายจ.8 แผ่นที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ขอให้เพิ่มค่าทดแทนที่ดิน 1 งาน50 ตารางวา ส่วนคำอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับลงวันที่ 19 กันยายน2534 ตามเอกสารหมาย จ.8 แผ่นที่ 4 และที่ 5 ก็อุทธรณ์ขอให้เพิ่มค่าทดแทนเฉพาะที่ดิน 12 ตารางวา เป็นอีกฉบับหนึ่งต่างหากและเป็นคำอุทธรณ์ที่พ้นระยะเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่ให้มารับเงินค่าทดแทนที่ดิน 1 งาน 50 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.23 ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าคำอุทธรณ์ค่าทดแทนที่ดินจำนวน12 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของคำอุทธรณ์ค่าทดแทนที่่ดินจำนวน 1 งาน50 ตารางวา เมื่อโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าได้อุทธรณ์ภายในกำหนดโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องต่อศาลขอให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนในส่วนนี้เพิ่มขึ้น คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์และจำเลยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นหรือไม่เพียงใด เห็นว่า ไม่ปรากฎว่ามีการกำหนดค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะ ดังนี้ การกำหนดเงินค่าทดแทนที่จะให้แก่โจทก์จึงต้องบังคับตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งตามมาตรา 21 (1) ให้กำหนดเงินค่าทดแทนโดยคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาออกตามมาตรา 6 ประกอบด้วยประการหนึ่ง แต่ทั้งโจทก์และจำเลยนำสืบฟังไม่ได้ว่า ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของที่ดินของโจทก์ที่จะต้องถูกเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาคือวันที่ 1 มกราคม 2531 เป็นราคาเท่าไร ที่โจทก์นำสืบราคาซื้อขายที่ดินรวม 68 โฉนด ก็ปรากฎว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงใหญ่อยู่ติดถนน 3 ด้าน คือ ถนนเจริญกรุง ถนนสีลม และถนนศรีเวียง แต่ที่ดินของโจทก์ติดซอยธนวัฒน์ มิได้ติดถนนใหญ่ ทั้งระยะเวลาที่ซื้อขายก็เป็นเวลาภายหลังและห่างจากวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาถึง2 ปี ราคาประเมินก็เพียงตารางวาละ 70,000 บาท จึงไม่น่าเชื่อว่าราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของที่ดินโจทก์ในวันที่ 1 มกราคม2531 จะเป็นตารางวาละ 252,800 บาท และเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับค่าทดแทนที่ดินเพิ่มเป็นตารางวาละ 150,000 บาทนั้น เป็นการกำหนดเงินค่าทดแทนโดยได้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามมาตรา21(1) ถึง(5) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนและสังคมแล้ว และเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ตารางวาละ 100,000 บาท ซึ่งน้อยกว่าราคาที่คณะกรรมการแก้ไขราคาเบื้องต้นกำหนดและน้อยกว่าราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่กลับพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้นเป็นการไม่ชอบ คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายในประเด็นเรื่องดอกเบี้ยโดยโจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ด้วยนั้นไม่ชอบ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ ด้วยนั้นไม่ชอบ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ทั้งศาลอุทธรณ์ก็มิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รบดอกเบี้ยและศาลอุทธรณ์พิพากษาในตอนท้ายว่า นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ยังคงให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ แต่อย่างไรก็ตามที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีคงที่นั้น ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26วรรคสาม โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากเงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินส่วนที่ได้รับอัตราเท่าใดต้องเป็นไปตามประกาศของธนาคารออมสินที่ประกาศอัตราดอกเบี้ยขึ้นลง แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี เนื่องจากโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาให้กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นจากที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าทดแทนเพิ่มจากค่าทดแทนที่คณะกรรมการแก้ไขราคาเบื้องต้นกำหนดไว้จำนวน 17,479,227 บาท อีก5,020,773 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินแต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกคำขออื่นนอกจากนี้

Share