คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาเกินคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองในเนื้อที่ดินที่ฟ้องหรือไม่ แม้เป็นประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยและจำเลยร่วมจึงยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์โดยรับในอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทฟังเป็นยุติว่ามีเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ จำเลยร่วมให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน และให้ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 12 กรกฎาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกนางประนอม ภริยาจำเลยเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมยื่นคำให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งโจทก์ทั้งสองเข้าไปตัดอ้อยในที่ดินของจำเลยร่วมคิดเป็นค่าเสียหาย 200,000 บาท ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องแย้ง และพิพากษาว่าจำเลยร่วมมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ ที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลท่าสีดา อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเฉพาะส่วนที่โจทก์ชนะคดีแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามาเกินคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองในเนื้อที่ดินที่ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยและจำเลยร่วมจึงยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ บรรยายว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าที่ดินโจทก์ที่ 1 เพียง 60 ถึง 70 ไร่ ต่อมาภริยาจำเลย (จำเลยร่วม) เช่าเพิ่มอีกจำนวน 60 ไร่ จำเลยร่วมให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 80 ไร่ ที่ดินพิพาททั้งผืนมีเนื้อประมาณ 130 ไร่ จำเลยร่วมครอบครองปลูกอ้อยส่วนที่เกินสัญญาเช่าประมาณ 50 ไร่ กำหนดประเด็นข้อพิพาท ข้อ 3 ว่า โจทก์ทั้งสองหรือจำเลยร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท และสั่งว่าเนื่องจากโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมพิพาทกันถึงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท กรณีจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ของราคาที่ดินพิพาท และคู่ความร่วมกันแถลงว่า ราคาที่ดินพิพาทมีราคา 130,000 บาท คู่ความจะขอชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มในวันนี้ โจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมต่างเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์โดยรับในคำฟ้องอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทฟังเป็นยุติว่ามีเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ เช่นนี้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองฟ้องว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ จำเลยร่วมให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยและจำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,500 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง

Share