แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ใบสำคัญรับเงินค่ากระบือ มิใช่สัญญาซื้อขายหรือจะซื้อขายไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารดังกล่าว จึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 จะใช้บังคับเฉพาะกรณีฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดแต่กรมโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ในตำแหน่งปศุสัตว์จังหวัดซึ่งเบิกยืมเงินทดรองไปจากโจทก์ เพื่อจัดซื้อกระบือตามโครงการที่โจทก์รับผิดชอบและเมื่อจ่ายค่ากระบือที่ซื้อแล้วมีเงินเหลือให้คืนเงินส่วนที่เหลือแก่โจทก์ อันเป็นการขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยแก่โจทก์ เป็นเรื่องที่เจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามมาตรา 1336 ไม่มีกำหนดอายุความกรณีมิใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จึงนำอายุความตามมาตรา 448 มาใช้บังคับไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่าง พ.ศ. 2528 จำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นข้าราชการสังกัดกรมโจทก์ ดำรงตำแหน่งปศุสัตว์จังหวัดกาฬสินธุ์และปศุสัตว์อำเภอกมลาไสย ตามลำดับ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2528โจทก์ได้อนุมัติให้จังหวัดกาฬสินธุ์ใช้เงินในวงเงิน 470,000 บาทของธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริเพื่อจัดซื้อกระบือเพศเมียขนาดใช้งานได้จำนวน 94 ตัว ในวงเงินตัวละประมาณ5,000 บาท โดยในการจัดซื้อจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดซื้อ รับโอนตั๋วพิมพ์รูปพรรณกระบือแทนโจทก์และเป็นผู้เบิกยืมเงินจากโจทก์เพื่อชำระค่ากระบือแก่ผู้ขายแล้วนำใบสำคัญการรับเงิน หลักฐานการจ่ายเงิน ใบตรวจรับกระบือและตั๋วพิมพ์รูปพรรณ รวมทั้งเงินที่เหลือ(ถ้ามี) ส่งโจทก์เพื่อโอนล้างเงินยืม ต่อมาวันที่ 5 เมษายน 2528จังหวัดกาฬสินธุ์มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการจัดซื้อและตรวจรับกระบือที่จัดซื้อดังกล่าว โดยแต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการ ครั้นวันที่ 15 เมษายน 2528 จำเลยที่ 1ได้ขออนุมัติยืมเงินทดรองจำนวน 235,000 บาท จากโจทก์เพื่อจัดซื้อกระบือตามโครงการ โจทก์อนุมัติ ต่อมาวันที่ 10 พฤษภาคม 2528จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จัดซื้อกระบือจากนายสมหมาย ภูเยี่ยมจิตรจำนวน 10 ตัว นายแสง ผลกิจ จำนวน 17 ตัว และนายสมาน นาสอ้านจำนวน 20 ตัว รวมจำนวน 47 ตัว ซึ่งคณะกรรมการตรวจรับกระบือไว้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองได้จ่ายเงินค่ากระบือให้แก่ผู้ขายในราคาตัวละ 4,100 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 192,700 บาทโดยให้ผู้ขายแต่ละรายลงลายมือชื่อในใบสำคัญรับเงินโดยมิได้กรอกข้อความใด ๆ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกรอกข้อความในใบสำคัญรับเงินดังกล่าวว่าได้รับเงินกระบือพื้นเมืองเพศเมียในราคาตัวละ 5,000 บาท รวมทั้งทำหลักฐานและนิติกรรมซื้อขายหลังตั๋วพิมพ์รูปพรรณกระบือในราคา 5,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น235,000 บาท แล้วนำไปเป็นหลักฐานโอนล้างเงินยืมที่เบิกยืมจากโจทก์ส่วนเงินที่ยังเหลืออยู่ซึ่งไม่ได้จ่ายเป็นค่ากระบือนั้นจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ของตน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 42,300 บาท จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ นอกจากนี้เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน2528 จำเลยที่ 1 ได้ขออนุมัติยืมเงินทดรองจำนวน 235,000 บาทจากโจทก์เพื่อจัดซื้อกระบือตามโครงการอีก โจทก์ได้อนุมัติ ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม 2528 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จัดซื้อกระบือจากนายอ่วม นาแสวง จำนวน 47 ตัว ซึ่งคณะกรรมการตรวจรับได้ตรวจรับกระบือไว้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองได้จ่ายเงินค่ากระบือให้แก่ผู้ขายในราคาตัวละ 4,200 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น197,400 บาท โดยให้ผู้ขายลงลายมือชื่อในใบสำคัญรับเงินโดยมิได้กรอกข้อความใด ๆ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกรอกข้อความในใบสำคัญรับเงินดังกล่าวว่า ได้รับเงินค่ากระบือแม่พันธุ์อายุ3 ถึง 4 ปี จำนวน 47 ตัว ราคาตัวละ 5,000 บาท เป็นเงิน 235,000 บาทรวมทั้งทำหลักฐานและนิติกรรมซื้อขายหลังตั๋วพิมพ์รูปพรรณกระบือแล้วนำไปเป็นหลักฐานโอนล้างเงินยืมที่เบิกยืมจากโจทก์ ส่วนเงินที่เหลืออยู่ซึ่งไม่ได้จ่ายเป็นค่ากระบือนั้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ของตน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 37,600 บาท รวมทั้ง 2 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น79,900 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามจำนวน79,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 79,900 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์จำนวน 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อกฎหมายว่าการที่โจทก์นำสืบนายสมหมาย นายแสง นายสมาน นายอ่วม และนายประทีปว่า นายสมหมาย นายแสง นายสมาน และนายอ่วมขายและรับเงินค่ากระบือจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตัวละไม่ถึง 5,000 บาท ผิดไปจากที่ระบุในเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.8 เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่าเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.8เป็นใบสำคัญรับเงินค่ากระบือ มิใช่สัญญาซื้อขายหรือจะซื้อขายใบสำคัญรับเงินดังกล่าวไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดงการที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ข้อสุดท้ายที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448กรณีมิใช่เป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เห็นว่า อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448จะใช้บังคับเฉพาะกรณีฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 พนักงานของโจทก์ในตำแหน่งปศุสัตว์จังหวัด ซึ่งเบิกยืมเงินทดรองไปจากโจทก์เพื่อจัดซื้อกระบือตามโครงการพระราชดำริและเมื่อจ่ายค่ากระบือที่ซื้อแล้วมีเงินเหลือให้คืนเงินส่วนที่เหลือแก่โจทก์ อันเป็นการขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ จึงเป็นเรื่องที่เจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ไม่มีกำหนดอายุความ กรณีมิใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย จึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้บังคับในคดีนี้ไม่ได้”
พิพากษายืน