แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีก่อนที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยกับคดีนี้คู่ความที่ฟ้องและถูกฟ้องจะผลัดกันเป็นโจทก์ จำเลย แต่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ในคดีก่อนกับคดีฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยในคดีนี้ก็ถือเป็นคดีประเภทเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(1) เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาในประเด็นแห่งคดีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ขับไล่จำเลยอีก โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกับคดีก่อนว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท คดีโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกัน อันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 94264 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำเลยเข้าอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและส่งคืนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ในสภาพดีดังเดิม
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์เพียงว่า ฟ้องโจทก์ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า เดิมจำเลยคดีนี้เคยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยบังคับให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่จำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 724/2532 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้โจทก์คดีนี้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท เห็นว่า แม้คดีก่อนที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้อง โจทก์เป็นจำเลยกับคดีนี้ คู่ความที่ฟ้องและถูกฟ้องจะผลัดกันเป็นโจทก์ จำเลย แต่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ในคดีก่อนกับคดีฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยในคดีนี้ก็ถือเป็นคดีประเภทเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาในประเด็นแห่งคดีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ขับไล่จำเลย โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกับคดีก่อนว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท คดีโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกันอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าคดีก่อนศาลฎีกายังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด และคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 วรรคหนึ่ง, 265, 268 วรรคหนึ่งโจทก์มีอำนาจฟ้องนั้น เรื่องดังกล่าวหาได้เป็นข้อยกเว้นที่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้นตามมาตรา 144 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้ไม่
พิพากษายืน