คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7249/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนมีรายได้ประจำจากเงินเดือนเดือนละ 18,360 บาท ถือได้ว่ามีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่งมีความมั่นคง แม้โจทก์ไม่อาจยึดเงินเดือนของจำเลยมาชำระหนี้ได้ก็ตาม แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 130,950บาท ไม่ปรากฏว่า จำเลยมีความประพฤติเสียหายในเรื่องการเงินและมิได้เป็นหนี้บุคคลอื่นใดอีก เชื่อได้ว่า จำเลยยังสามารถขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่านอกจากจำเลยจะเป็นหนี้โจทก์แล้ว จำเลยยังถูก ม. ฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือในข้อหากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ถึง3 คดี ซึ่งรวมหนี้ของจำเลยที่ถูก ม. ฟ้องเป็นเงินประมาณ 1,262,000 บาท นั้น เมื่อปรากฏว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาและยังไม่ถึงที่สุด ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้จริงรูปคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ต้องยกฟ้องตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 14

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยไม่ยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 4685/2538 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้คิดถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 130,950บาท คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบคงปรากฏแต่เพียงตัวโจทก์ปากเดียวที่เบิกความว่าโจทก์ได้ขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะให้ยึดชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ และจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากทนายความของโจทก์แล้วรวม 2 ครั้ง มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยมิได้ชำระหนี้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.6 โจทก์ถือว่าพฤติการณ์เช่นนี้ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวเป็นแต่เพียงเหตุหนึ่งที่กฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้เท่านั้น ส่วนการพิจารณาคดีล้มละลายตามฟ้องโจทก์นั้นพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ให้ศาลพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 และการที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ใดเป็นบุคคลล้มละลายไม่ใช่อาศัยแต่ลำพังข้อเท็จจริงอันเป็นเงื่อนไขตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายอย่างเดียวแต่ยังต้องพิเคราะห์ถึงเหตุผลอื่นประกอบที่พอแสดงให้เห็นว่า จำเลยตกอยู่ในฐานะผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริง เมื่อพิเคราะห์ข้อนำสืบของจำเลยในคดีนี้แล้วปรากฏว่าจำเลยเป็นข้าราชการตำรวจตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล มีรายได้ประจำจากเงินเดือนเดือนละ 18,360 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1 จึงเห็นได้ว่าจำเลยมีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่งมีความมั่นคง แม้โจทก์ไม่อาจยึดเงินเดือนของจำเลยมาชำระหนี้ได้ตามที่โจทก์ฎีกาก็เป็นคนละเรื่องกับความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 130,950 บาท เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความประพฤติเสียหายในเรื่องการเงินและมิได้เป็นหนี้บุคคลอื่นใดอีกพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่าจำเลยสามารถขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ได้ ส่วนข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่า นอกจากจำเลยเป็นหนี้โจทก์แล้ว โจทก์เพิ่งทราบข้อเท็จจริงภายหลังยื่นอุทธรณ์ในคดีนี้แล้วว่า จำเลยยังถูกนายมนตรี สิหนาทกถากุล ฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือในข้อหากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ในคดีหมายเลขดำที่ 5324/2539 คดีหมายเลขดำที่ 6388/2539และคดีหมายเลขดำที่ 7535/2539 ปรากฏตามเอกสารท้ายคำแถลงของโจทก์ลงวันที่19 มีนาคม 2540 ซึ่งรวมหนี้ของจำเลยที่ถูกนายมนตรีฟ้องเป็นเงินประมาณ 1,262,000บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาและยังไม่ถึงที่สุด ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้จริง รูปคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามที่โจทก์ฟ้อง ต้องยกฟ้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share