แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าผู้เสียหายกับจำเลยได้ตกลงยอมความกันอันทำให้ความผิดฐานฉ้อโกงระงับไปแล้วหรือไม่ ไม่ปรากฏในคำอุทธรณ์ แต่จำเลยเพิ่งอ้างในคำแถลงการณ์ในชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยมีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้
ข้อเท็จจริงตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจ ฟังได้ว่าผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายจนพอใจ ไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ถือเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
จำเลยลักปลายขั้วสลากเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัวของผู้เสียหายไปกรอกเลขให้ตรงกับรางวัลเลขท้ายประจำงวด นำไปหลอกเอาเงินรางวัลจากผู้เสียหายเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เอาไปเสียซึ่งเอกสารผู้อื่น และใช้เอกสารสิทธิปลอม แม้จะเป็นการกระทำต่างฐาน แต่เป็นการกระทำเกี่ยวพันต่อเนื่องโดยมีเจตนาเดียวเพื่อเอาเงินจากผู้เสียหาย เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ปัญหาว่าการกระทำความผิดของจำเลยเป็นเป็นกรรมเดียวหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 188, 335, 265, 268, 341 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 335 (1) 268 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 335 (1) วรรคแรก 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265), 341 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุก 1 ปี ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฐานฉ้อโกงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์และฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดในข้อหาดังกล่าว จำเลยไม่อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแต่อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดในข้อหาดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดหาได้ไม่ ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้เสียหายกับจำเลยได้ตกลงยอมความกันตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานฉ้อโกงระงับไปแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยให้จึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในอุทธรณ์ของจำเลยแต่ปรากฏในคำแถลงการณ์เพิ่มเติมอุทธรณ์ที่จำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้น เมื่อพ้นกำหนดอุทธรณ์และศาลชั้นต้นสั่งรวม จึงไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าว จะมิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยมีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามสำเนารายงานประจำวันที่จำเลยแนบมาท้ายฎีกา และโจทก์รับสำเนาแล้วไม่แก้ฎีกา ฟังได้ว่าผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 25,000 บาท จากจำเลยและไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญา ถือว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ตกลงยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานฉ้อโกงจึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) และทำให้คำขอส่วนแพ่งของโจทก์ที่ขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ย่อมตกไปด้วย ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยกับผู้เสียหายต่างรู้จักกันมาก่อนและติดต่อซื้อขายสลากกันมานาน ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีพฤติการณ์ลักษณะเดียวกันนี้มาก่อน ประกอบกับจำเลยได้เงินไปจากผู้เสียหายเพียง 25,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากนัก ทั้งได้คืนให้แก่ผู้เสียหายรับไปจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยแล้ว นับว่าจำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายแห่งคดีตามสมควรแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติของจำเลยไว้เพื่อให้มีเจ้าพนักงานคอยแนะนำ ช่วยเหลือ ตักเตือน หรือสอดส่องดูแลซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมมากกว่า ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อป้องปรามมิให้จำเลยกระทำความผิดในทำนองเดียวกันนี้อีก จึงให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น กับความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 8,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังและคุมความประพฤติของจำเลยไว้ โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 4 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ให้จำเลยละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำผิดทำนองนี้อีก กับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้จำหน่ายคดีในความผิดฐานฉ้อโกงออกจากสารบบความ และให้ยกคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์