คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7240/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อบังคับของโจทก์กำหนดว่า ในกรณีที่ชำระค่าใช้จ่ายหลังจากที่กำหนดหรือนิติบุคคลอาคารชุดฯ ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามเช็คสั่งจ่าย เจ้าของห้องชุดจะต้องชำระค่าปรับในอัตราร้อยละ 10ต่อเดือนของเงินจำนวนที่ค้างชำระนั้น ค่าปรับตามที่กำหนดไว้ดังกล่าวมีลักษณะเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งโจทก์กำหนดไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่เจ้าของห้องชุดไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควร จึงเป็นเบี้ยปรับซึ่งถ้าศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ แม้โจทก์จะมีอำนาจออกข้อบังคับเพื่อจัดการและดูแลทรัพย์สินส่วนกลางและข้อบังคับของโจทก์ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามกฎหมายแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้ข้อกำหนดดังกล่าวไม่เป็นเบี้ยปรับและที่โจทก์อ้างว่าโจทก์จำเป็นต้องมีข้อบังคับให้เจ้าของห้องชุดปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดเพื่อให้โจทก์สามารถบริหารงานได้และเจ้าของห้องชุดได้อยู่ร่วมกันโดยปกติสุขก็หาได้ตัดอำนาจศาลที่จะลดเบี้ยปรับที่เรียกสูงเกินส่วนลงไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดโจทก์ ตามข้อบังคับของโจทก์กำหนดให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดต้องออกค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการจัดการอาคารชุดนั้น โดยค่าใช้จ่ายส่วนกลางเจ้าของร่วมต้องรับผิดในอัตราส่วนที่แต่ละบุคคลเป็นเจ้าของ และเจ้าของร่วมต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางแต่ละปีแก่โจทก์ในกำหนด 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง หากเกินกำหนดต้องเสียค่าปรับอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน จำเลยเป็นเจ้าของร่วมอาคารชุดโจทก์ห้องเลขที่ 45/70 ต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนกลางของปี 2540 ค่าติดตั้งสัญญาณเตือนภัยและค่ารักษามิเตอร์ไฟฟ้าระหว่างเดือนมีนาคมถึงธันวาคม2540 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 78,794.25 บาท แต่จำเลยไม่ชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวแก่โจทก์ในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์แจ้งจำเลย โจทก์จึงคิดค่าปรับของเงินดังกล่าวตามข้อบังคับของโจทก์ คิดเป็นค่าปรับถึงวันฟ้อง 280,234.80 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 359,029.05บาท พร้อมเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงิน 78,794.25 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน 78,794.25 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ของต้นเงิน 77,937 บาท นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกคำขออื่นนอกจากนี้

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ประการเดียวว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดค่าปรับให้แก่จำเลยชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลอาคารชุดมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง มีอำนาจกระทำการใด ๆเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดของโจทก์ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามกฎหมายแล้ว โจทก์จำเป็นต้องมีข้อบังคับให้เจ้าของร่วมปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของร่วมผู้หนึ่งไม่ยอมชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางทำให้โจทก์ไม่สามารถบริหารงานได้เพราะขาดเงินที่จะใช้บริหารงานอาคารชุด เป็นความเสียหายต่อเจ้าของร่วมทุกคน จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของโจทก์ข้อ 17 คือต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือนของค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระตามฟ้องนั้น เห็นว่า ข้อบังคับของโจทก์ข้อ 17 กำหนดว่า “เจ้าของร่วมต้องชำระค่าใช้จ่ายตามข้อ 15 และ 16ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับรายการแจ้งจากผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดฯณ สำนักงานของนิติบุคคลฯ นี้ ในกรณีที่ชำระหลังจากที่กำหนดหรือนิติบุคคลอาคารชุดฯ ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามเช็คสั่งจ่าย เจ้าของห้องชุดจะต้องชำระค่าปรับในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ของเงินจำนวนที่ค้างชำระ…”ค่าปรับตามที่กำหนดไว้ดังกล่าวมีลักษณะเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งโจทก์กำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อเจ้าของร่วมไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควร เป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 ซึ่งเบี้ยปรับนี้ถ้าศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383วรรคหนึ่ง การที่โจทก์มีอำนาจออกข้อบังคับเพื่อจัดการและดูแลทรัพย์สินส่วนกลางก็ดี ข้อบังคับของโจทก์ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามกฎหมายแล้วก็ดี ไม่ทำให้ข้อกำหนดที่โจทก์กำหนดค่าปรับไว้ล่วงหน้าดังกล่าวไม่เป็นเบี้ยปรับ ส่วนที่โจทก์จำเป็นต้องมีข้อบังคับให้เจ้าของร่วมปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เพื่อให้โจทก์สามารถบริหารงานได้และเจ้าของร่วมได้อยู่ร่วมกันโดยปกติสุขตามที่โจทก์อ้าง ก็หาได้ตัดอำนาจศาลที่จะพิจารณาหลักเกณฑ์ตามกฎหมายในการลดเบี้ยปรับที่เรียกสูงเกินส่วนลงเป็นจำนวนที่พอสมควรตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 383 วรรคหนึ่ง เพราะมิฉะนั้นบทบัญญัติที่ให้ศาลพิจารณาลดเบี้ยปรับนั้นก็จะไม่มีผลบังคับจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้จะต้องชดใช้ค่าปรับที่เจ้าหนี้กำหนดไว้สูงเกินสมควรโดยไม่มีเหตุผล ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ค่าปรับตามข้อกำหนดของโจทก์ข้อ 17 เป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้นั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง78,794.25 บาท กับค่าปรับถึงวันฟ้อง 280,234.80 บาท รวมเป็นเงิน359,029.05 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง78,794.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ของต้นเงิน77,937 บาท นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2540 ซึ่งคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเวลา 9 เดือน 6 วัน คิดเป็นเงิน 8,962.75 บาท รวมเป็นเงิน 87,757บาท โจทก์อุทธรณ์และฎีกาขอให้บังคับจำเลยตามฟ้อง คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาศาลละ 271,272.05 บาท ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาศาลละ 6,782.50 บาท กับค่าขึ้นศาลสำหรับคำขอในอนาคตศาลละ 100 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ 8,975 บาท ในชั้นฎีกา 9,075 บาท ต้องคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ที่เกินมา 2,092.50 บาท และในชั้นฎีกาที่เกินมา 2,192.50 บาท ให้แก่โจทก์”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ที่เกินมา 2,092.50 บาท และในชั้นฎีกาที่เกินมา 2,192.50 บาท ให้แก่โจทก์

Share