แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา845และ846แสดงให้เห็นว่าสัญญานายหน้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีการตกลงกันระหว่างบุคคลที่ประสงค์จะทำสัญญากับบุคคลที่จะทำหน้าที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาหรือจัดการให้ได้ทำสัญญาที่เรียกว่านายหน้าเมื่อได้ความว่าโจทก์ไม่เคยรู้จักจำเลยพ. น้องจำเลยเป็นผู้ติดต่อขอให้โจทก์ช่วยเสนอขายที่ดินของจำเลยโดยโจทก์ได้ข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินและราคาจากพ. พ. ตกลงกับโจทก์ว่าค่านายหน้าที่จำเลยจะให้ในอัตราร้อยละ3ของราคาซื้อขายที่ดินนั้นพ. จะแบ่งให้โจทก์ร้อยละ2ส่วนพ. จะเอาไว้ร้อยละ1โจทก์ไม่เคยตกลงเรื่องค่านายหน้ากับจำเลยในวันทำสัญญาจะซื้อขายโจทก์ได้รับเงินค่านายหน้าจากพ. และในวันที่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยกับจ. โจทก์ไม่ได้ไปที่สำนักงานที่ดินจ. เป็นคนรับเงินค่านายหน้าไว้แทนโจทก์200,000บาทและบอกว่าส่วนที่เหลือให้โจทก์ติดต่อพ. แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ตกลงโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้จ.มาซื้อที่ดินจำเลยแม้โจทก์ตกลงร่วมกับพ. ทำหน้าที่ติดต่อชี้ช่องให้จ. เข้าทำสัญญากับจำเลยหรือจัดการให้จ. ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยแล้วได้ส่วนแบ่งค่านายหน้าจากพ. ก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับพ. เท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงให้โจทก์ร่วมกับพ.ทำหน้าที่ชี้ช่องให้จำเลยกับจ. เข้าทำสัญญากันแล้วโจทก์ย่อมไม่ใช่นายหน้าของจำเลยโจทก์ได้รับแบ่งค่านายหน้าที่จำเลยจ่ายให้จากพ. และจ. มาบางส่วนก็เป็นเพราะเหตุที่มีข้อตกลงกันไว้ระหว่างโจทก์กับพ. และจ.แต่โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับเรียกเอาค่านายหน้าจากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2165 เนื้อที่ 28 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา โจทก์รับเป็นนายหน้าติดต่อหาผู้มาซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยจำเลยตกลงจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 2 ของราคาที่ดินที่ขายได้เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2536 โจทก์จัดการให้จำเลยได้เข้าทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวกับนายจรัฐ ระวีแสงสูรย์ ในราคาไร่ละ1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 28,280,000 บาท คิดเป็นค่านายหน้า565,600 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อขายจำเลยได้รับเงินมัดจำจากนายจรัลจำนวน 8,000,000 บาท และชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ 160,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 405,600 บาท จะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 4 มกราคม 2537 ซึ่งเป็นวันโอนกรรมสิทธิ์ จำเลยได้รับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 20,280,000 บาทจากนายจรัลแล้ว แต่จำเลยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์เพียง297,000 บาท คงขาดอยู่อีก 108,600 บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่านายหน้าจำนวน 108,600 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2165 เนื้อที่ 28 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา ปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายจรัล ระวีแสงสูรย์ เมื่อปลายปี2536 จำเลยมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินในการทำธุรกิจจึงได้ประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าว และเพื่อให้ขายได้โดยเร็วจำเลยจึงแจ้งแก่เพื่อน ๆ ว่าหากใครสามารถหานายทุนหรือผู้มาซื้อได้จำเลยจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 2 ต่อมานายไพศาล นิลดำมาติดต่อเพื่อให้มีการขายที่ดินแปลงดังกล่าว และมีเพียงนายไพศาลเท่านั้นที่นำผู้ซื้อมาทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยจำเลยไม่เคยรู้จักหรือมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จำเลยไม่เคยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์และไม่เคยค้างชำระค่านายหน้าจำนวน108,600 บาท แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 108,600 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินให้แก่จำเลย โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำเลยได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2165 ตำบลคลองมะเดื่อ(คลองกระทุ่มแบน) อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีเนื้อที่ 28 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวาเมื่อปี 2536 จำเลยประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าวโดยตกลงให้ค่านายหน้าแก่บุคคลผู้ซึ่งเป็นนายหน้าชี้ช่องในอัตราร้อยละ 2ของราคาที่ดินที่ขายได้ ต่อมาจำเลยตกลงขายที่ดินให้นายจรัลในราคาไร่ละ 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 28,280,000 บาท คิดเป็นค่านายหน้า 565,600 บาทในวันทำสัญญาจะซื้อขายจำเลยได้รับเงินมัดจำจากนายจรัลจำนวน 8,000,000 บาท วันที่ 4 มกราคม 2537จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายจรัล คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายจรัลและจำเลยยังค้างชำระค่าบำเหน็จแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การเป็นนายหน้าไม่จำเป็นจ้องเข้าไปติดต่อกับผู้ซื้อและผู้ขายทั้งสองฝ่าย เมื่อนายไพศาลน้องชายจำเลยมาติดต่อขายที่ดินของจำเลยให้แก่ผู้ซื้อโดยผ่านโจทก์และบอกโจทก์ว่าจำเลยจะให้ค่านายหน้าในอัตราร้อยละ 3 โจทก์จึงนำนายจรัลผู้ซื้อไปพบจำเลยที่บ้านนายไพศาลเป็นเหตุให้จำเลยสามารถทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายจรัลได้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์และนายไพศาลต่างก็เป็นนายหน้าในการขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 บัญญัติว่า “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น” และมาตรา 846บัญญัติว่า “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า” จากบทบัญญัติของกฎหมายทั้งสองมาตราดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สัญญานายหน้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีการตกลงกันระหว่างบุคคลที่ประสงค์จะทำสัญญากับบุคคลที่จะทำหน้าที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาหรือจัดการให้ได้ทำสัญญาที่เรียกว่านายหน้า เมื่อได้ความว่าโจทก์ไม่เคยรู้จักจำเลยนายไพศาลน้องจำเลยเป็นผู้ติดต่อขอให้โจทก์ช่วยเสนอขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2165 ของจำเลย โดยโจทก์ได้ข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินและราคาจากนายไพศาล นายไพศาลตกลงกับโจทก์ว่าค่านายหน้าที่จำเลยจะให้ในอัตราร้อยละ 3 ของราคาซื้อขายที่ดินนั้น นายไพศาลจะแบ่งให้โจทก์ร้อยละ 2 ส่วนนายไพศาลจะเอาไว้ร้อยละ 1 โจทก์ไม่เคยตกลงเรื่องค่านายหน้ากับจำเลยในวันทำสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3โจทก์ได้รับเงินค่านายหน้าจากนายไพศาลและในวันที่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยกับนายจรัลโจทก์ไม่ได้ไปที่สำนักงานที่ดิน นายจรัลเป็นคนรับเงินค่านายหน้าไว้แทนโจทก์ 200,000 บาท และบอกว่าส่วนที่เหลือให้โจทก์ติดต่อนายไพศาล แสดงให้เห็นชัดเจนว่า จำเลยไม่ได้ตกลงโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้นายจรัลมาซื้อที่ดินจำเลย แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ตกลงร่วมกับนายไพศาลทำหน้าที่ติดต่อชี้ช่องให้นายจรัลเข้าทำสัญญากับจำเลยหรือจัดการให้นายจรัลทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยแล้วได้ส่วนแบ่งค่านายหน้าจากนายไพศาลก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับนายไพศาลเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าจำเลยตกลงให้โจทก์ร่วมกับนายไพศาลทำหน้าที่ชี้ช่องให้จำเลยกับนายจรัลเข้าทำสัญญากันแล้ว โจทก์ย่อมไม่ใช่นายหน้าของจำเลยเพราะเหตุไม่มีนิติสัมพันธ์ข้อตกลงต่อกัน แม้หากจะฟังต่อไปได้ว่าโจทก์ได้รับแบ่งค่านายหน้าที่จำเลยจ่ายให้จากนายไพศาลและนายจรัลมาบางส่วน ก็เป็นเพราะเหตุที่มีข้อตกลงกันไว้ระหว่างโจทก์กับนายไพศาลและนายจรัล จึงย่อมเรียกร้องกันได้ตามข้อตกลง แต่โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับเรียกเอาค่านายหน้าจากจำเลยได้
พิพากษายืน