แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้สัญญาเช่าซื้อจะระบุว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันและผู้เช่าซื้อต้อง ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อโดยพลันก็ตาม แต่ปรากฏว่าจำเลยผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ต้นตลอดมา โดยมิได้ชำระตรงตามกำหนดแต่ละงวด ซึ่งโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อก็ผ่อนผัน ยอมรับค่าเช่าซื้อที่ชำระไม่ครบตามกำหนดนั้นตลอดมา แสดงว่า โจทก์ไม่ถือเอาข้อสัญญาดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ แต่โจทก์กลับยังถือว่า สัญญาเช่าซื้อมีผลต่อไป จึงได้ยอมรับค่าเช่าซื้อไว้ เมื่อคู่สัญญา มีเจตนาถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อกัน และต่อมาก็มิได้มีการ บอกเลิกสัญญาแก่กันเช่นนี้ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องเรียก ค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้กับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินค่าเสียหายจำนวน 71,158 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า การชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์แต่ละงวดโจทก์ได้ผ่อนผันแก่จำเลยที่ 1 ตลอดมา โจทก์ยอมรับชำระโดยไม่อิดเอื้อน มิได้ผิดสัญญาโจทก์ยึดรถคืนไปมิได้ขาดประโยชน์และไม่เสียหาย หากจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 ก่อนเพราะจำเลยที่ 1มีทางที่จะชำระหนี้และไม่เป็นการยาก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 8 ได้ระบุว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดยอมให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน และข้อ 10ระบุว่า ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดผิดสัญญาหลายครั้งหลายอย่างถ้าเจ้าของผ่อนผันการผิดนัดผิดสัญญาครั้งใดอย่างใด ไม่ให้ถือว่าเป็นการผ่อนผันการผิดนัดหรือผิดสัญญาครั้งอื่นอย่างอื่น ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดงวดที่ 17 แล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า เห็นว่าแม้สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.2 จะได้ระบุไว้ในข้อ 8 ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันและผู้เช่าซื้อต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อโดยพลันก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ต้นตลอดมา โดยมิได้ชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดแต่ละงวด โดยชำระค่าเช่าซื้อแต่ละงวดหลังจากครบกำหนดแล้วซึ่งโจทก์ผ่อนผันยอมรับค่าเช่าซื้อที่ชำระไม่ตรงตามกำหนดนั้นตลอดมา ดังนี้ย่อมเห็นได้ว่าคู่สัญญามิได้ถือเอาข้อตกลงในสัญญาข้อ 8 ดังกล่าวเป็นสาระสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์อ้างในคำฟ้องเป็นหลักแห่งข้อหาว่า สัญญาเช่าซื้อได้เลิกกันตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 17 แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนได้โดยมิต้องบอกกล่าวก่อน แต่ปรากฏว่าหลังจากวันที่ 16กันยายน 2527 โจทก์ก็ยังยินยอมรับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1อีกหลายครั้งคือรับเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2527 วันที่ 22 มกราคม2528 วันที่ 30 มกราคม 2528 วันที่ 30 เมษายน 2528 วันที่ 30พฤษภาคม 2528 และครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2528ตามใบรับชั่วคราวเอกสารหมาย ล.18 ถึง ล.17 การที่โจทก์ยังรับค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 หลังจากวันที่ 16 กันยายน 2527 ย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ถือเอาข้อสัญญาที่ว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่งสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันเป็นสาระสำคัญแต่โจทก์กลับยังถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อกัน และต่อมาก็มิได้มีการบอกเลิกสัญญาแก่กันเช่นนี้ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง…”
พิพากษายืน.