คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาซื้อขายที่ทำขึ้นระหว่างผู้คัดค้านกับจำเลยที่ 2 มีข้อความระบุแต่เพียงว่า ผู้คัดค้านได้ขายรถยนต์ของกลางให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 320,000 บาทได้รับเงินมัดจำไว้ 170,000 บาท ส่วนที่เหลือ 150,000 บาท จะชำระในวันที่ 29มกราคม 2541 สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีการแบ่งชำระราคาซื้อขายเป็น 2 งวดเท่านั้น ดังนั้น เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปยังจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 458 มิใช่สัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 ผู้คัดค้านจึงมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงไม่มีสิทธิยื่นคำคัดค้าน ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้คัดค้านได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2541 เวลากลางวัน พันตำรวจตรีพิเชษฐ์ปันกิติ กับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้ร่วมกันจับกุมนายประเทือง มิตรนุ่ม (จำเลยที่ 1) และนายมาโนช มีมงคล (จำเลยที่ 2) ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3837/2541 ของศาลชั้นต้นได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 4,000 เม็ด น้ำหนัก 361.200 กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 99.018 กรัม และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน 5 ฎ – 8022 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นของกลาง และต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2541 ในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายปรากฏว่าของกลางที่ยึดได้คือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 5 ฎ – 8022 กรุงเทพมหานคร เป็นยานพาหนะและทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดโดยใช้ในการขับขี่ ขนส่ง บรรทุกซุกซ่อนยาเสพติดให้โทษของกลาง จึงขอให้ริบรถยนต์ของกลางดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31

พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน ให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีแล้ว

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 5 ฎ – 8022 กรุงเทพมหานคร โดยประมูลซื้อมาจากบริษัทเอเซียเสริมกิจลิสซิ่ง จำกัด เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 ต่อมาวันที่ 23 มกราคม2541 ผู้คัดค้านได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 320,000 บาทในวันทำสัญญาจำเลยที่ 2 ชำระเงินมัดจำให้เป็นเงิน 170,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก150,000 บาท จำเลยที่ 2 ตกลงจะชำระให้ภายในวันที่ 29 มกราคม 2541 หากไม่ชำระภายในกำหนดยินยอมให้ผู้คัดค้านริบเงินมัดจำและยอมส่งมอบรถยนต์คืนให้ผู้คัดค้านในทันทีตามสำเนาหนังสือหลักฐานซื้อขายรถยนต์ท้ายคำคัดค้าน แต่เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามสัญญา จำเลยที่ 2 ผิดนัดและไม่ยอมส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่ผู้คัดค้านผู้คัดค้านมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสอง และไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำรถยนต์ของผู้คัดค้านไปใช้ในการกระทำความผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ขอให้คืนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 5 ฎ – 8022 กรุงเทพมหานคร ของกลางแก่ผู้คัดค้าน

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ริบรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 5 ฎ – 8022 กรุงเทพมหานคร ของกลาง ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 31

ผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้โดยที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า รถยนต์ของกลางในคดีนี้เป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และใช้เป็นอุปกรณ์ในการบรรทุกซุกซ่อนยาเสพติดให้โทษของกลาง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านในข้อแรกว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางในคดีนี้หรือไม่ ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้คัดค้านได้ขายรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 2 ไป ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ป.จ.16ซึ่งตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวตกลงราคาเป็นเงิน 320,000 บาท จำเลยที่ 2 ชำระในวันทำสัญญาเป็นเงินมัดจำ 170,000 บาท ส่วนที่เหลือ 150,000 บาท จะชำระภายในวันที่ 29 มกราคม 2541 หากไม่ชำระจำเลยที่ 2 ยินยอมคืนรถยนต์และให้ริบเงินมัดจำได้ สัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีข้อความระบุแต่เพียงว่าผู้คัดค้านได้ขายรถยนต์ของกลางให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 320,000 บาท ได้รับเงินมัดจำไว้ 170,000 บาท ส่วนที่เหลือ 150,000 บาท จะชำระให้ในวันที่ 29 มกราคม2541 เท่านั้น สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีการแบ่งชำระราคาซื้อขายเป็น 2 งวด เท่านั้น ดังนั้น เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปยังจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 458 หากผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ขายมีความประสงค์จะไม่ให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางโอนไปในทันที ในสัญญาก็จะต้องมีข้อความที่เป็นเงื่อนไขกำหนดบังคับไว้ในสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 แต่ปรากฏว่าในสัญญาซื้อขายระหว่างผู้คัดค้านกับจำเลยที่ 2 มิได้มีเงื่อนไขดังกล่าว กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางจึงตกเป็นของจำเลยที่ 2 ทันทีตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน ดังนั้น ผู้คัดค้านมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงไม่มีสิทธิยื่นคำคัดค้าน ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้คัดค้านได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share