คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7229/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่า การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายรวม207,167.69 บาท โดยแนบสำเนาใบเสนอราคาค่าซ่อมใบกำกับภาษีหรือบิลเงินสดแนบท้ายฟ้องมาด้วย ซึ่งระบุรายการซ่อม มาชัดแจ้ง ดังนั้นสภาพแห่งความเสียหายที่เกิดแก่รถยนต์ ของโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดนั้นจึงแจ้งชัด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม รถยนต์ของโจทก์ถูกรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับมาชนท้ายก่อนแล้ว จึงได้กระดอนไถลไปชนท้าย รถยนต์ ที่จอดรอเลี้ยวขวาอยู่ข้างหน้า เป็นเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหาย ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 จะชนท้าย รถยนต์ ของโจทก์ในขณะที่รถยนต์ของโจทก์ จอดนิ่งแล้วหรือไม่ และรุนแรงเพียงใดนั้น ย่อมไม่ใช่ข้อเท็จจริง ที่จะฟังเปลี่ยนแปลงผลแห่งความเสียหายที่เกิดจากการกระทำ ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน207,167.69 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 207,166.69 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2536 ซึ่งเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกานี้เฉพาะตามที่จำเลยที่ 3 ฎีกาเป็นประเด็นแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในส่วนคำบรรยายฟ้องเกี่ยวกับความเสียหายของรถยนต์โจทก์หรือไม่เห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1ทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายรวม 207,167.69 บาท โดยแนบสำเนาใบเสนอราคาค่าซ่อมใบกำกับภาษีหรือบิลเงินสดแนบท้ายฟ้องมาด้วย คือเอกสารหมายเลข 4 ซึ่งระบุรายการซ่อมมาชัดแจ้งสภาพแห่งความเสียหายที่เกิดแก่รถยนต์ของโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดนั้นจึงแจ้งชัด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมเหตุที่จำเลยที่ 3 อ้างในฎีกาเกี่ยวกับความเสียหายดังปรากฏที่ส่วนหน้าของรถยนต์โจทก์เสียหายมากกว่าส่วนหลังด้วยเหตุใดนั้นเป็นข้อเถียงในประเด็นที่จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อมาว่า ความเสียหายในส่วนหน้ารถยนต์ของโจทก์เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1หรือไม่ ซึ่งปัญหานี้ข้อเท็จจริงแห่งคดีศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องตรงกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถชนท้ายรถยนต์ของโจทก์เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์กระดอนไปชนท้ายรถยนต์คันหน้าโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ความสอดคล้องต้องกันว่า รถยนต์ของโจทก์ถูกรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับมาชนท้ายก่อนแล้วจึงได้กระดอนไถลไปชนท้ายรถยนต์ที่จอดรอเลี้ยวขวาอยู่ข้างหน้าเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายตรงกัน ส่วนจำเลยที่ 1 จะชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ในขณะที่รถยนต์ของโจทก์จอดนิ่งแล้วหรือไม่ และรุนแรงเพียงใดนั้น มิได้เป็นข้อเท็จจริงที่จะฟังเปลี่ยนแปลงผลแห่งความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไปได้
พิพากษายืน

Share