คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่854/2530 ของศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จำเลยมา กระทำผิดในคดีนี้อีกภายใน 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ และจำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน แต่รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ขอให้เพิ่มโทษและบวกโทษจำคุกจำเลยเข้ากับโทษจำเลยคดีนี้ด้วย จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 854/2530และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้น และเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับ ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษแต่ศาลให้รอการลงโทษไว้ศาลจึงบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีฝิ่นจำนวน 1 ห่อ น้ำหนัก 3.40 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย จำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 854/2530 ของศาลชั้นต้น ให้จำคุก 6 เดือนในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษและจำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้น ให้จำคุก 6 เดือน ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปีจำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ในคดีที่จำเลยได้กระทำผิดดังกล่าวทั้งสองคดีไม่ใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุเกิน 17 ปีแล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 17, 69 และ 97 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 6, 10ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 และเพิ่มโทษของจำเลยกับบวกโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 854/2530 และคดีหมายเลขแดงที่ 280/2531ของศาลชั้นต้น เคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคแรก จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97เป็น จำคุก 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 เดือนบวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 รวมจำคุก 12 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า แม้ จำเลยจะยอมรับว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นำโทษจำคุกมาบวกกับโทษของจำเลยในคดีนี้ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำความผิดในคดีดังกล่าวจริง จะถือเอาเหตุที่จำเลยยอมรับมาเป็นเหตุบวกโทษจำคุกจำเลยไม่ได้ ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างมาด้วยว่า เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2531จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้นจำเลยกลับมากระทำผิดในคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาที่ศาลได้รอการลงโทษจำเลยไว้ ขอให้บวกโทษจำคุกจำเลยในคดีที่ศาลได้รอการลงโทษจำเลยเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ เมื่อจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม2531 ว่า จำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 280/2531ของศาลชั้นต้นและเคยต้องโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริงจึงถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยต้องโทษแต่ศาลให้รอการลงโทษไว้ ศาลจึงบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share