แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การรับขนของทางบกระหว่างประเทศเข้าลักษณะของการับขนตาม ป.พ.พ บรรพ 3 ลักษณะ 8 ว่าด้วยการรับขนและตามบทบัญญัติว่าด้วยการรับขนดังกล่าวก็ไม่ได้บัญญัติเป็นการยกเว้นไว้ดังที่ป.พ.พ. มาตรา 609 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 4 บัญญัติให้การรับขนของทางทะเลระหว่างประเทศอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 ดังนั้น จึงไม่อาจนำบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาปรับใช้กับการขนส่งสินค้าทางบกระหว่างประเทศได้
การเอาประกันภัยหรือไม่เอาประกันภัยในสินค้าของโจทก์เป็นสิทธิของโจทก์ไม่เกี่ยวพันใดๆ กับการเกิดความเสียหายของสินค้าจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2547 โจทก์สั่งซื้อสินค้าแผ่นวัสดุทำจากขี้เลื่อยน้ำหนักรวม 19,420.19 กิโลกรัม ราคา 41,213.81 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,683,996.28 บาท จากผู้ขายในประเทศมาเลเซีย จำนวน 7 รายการ เพื่อติดตั้งที่โรงแรมของโจทก์ เลขที่ 106/46 หมู่ที่ 3 ตำบลเชิงทะเล อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โจทก์ว่าจ้างจำเลยขนส่งสินค้าและดำเนินพิธีการทางศุลกากร กำหนดให้ส่งมอบสินค้าแก่โจทก์ในวันที่ 3 มิถุนายน 2547 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2547 ในระหว่างการขนส่งสินค้าดังกล่าวจากประเทศมาเลเซียมายังประเทศไทย รถที่บรรทุกสินค้าเกิดอุบัติเหตุเป็นเหตุให้สินค้าทั้งหมดเสียหาย คิดเป็นเงิน 1,683,996.28 บาท และเนื่องจากสินค้าที่โจทก์สั่งซื้อต้องนำมาใช้ตกแต่งอาคารโรงแรมของโจทก์ซึ่งมีกำหนดเปิดดำเนินการที่แน่นอน เมื่อสินค้าได้รับความเสียหายทำให้กิจการของโจทก์ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามกำหนด ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะพึงได้รับทางธุรกิจ เป็นเงิน 250,000 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหาย 1,933,996.28 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,168,460.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,933,996.28 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 41,213.81 ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยหากจำเลยจะชำระหนี้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาทให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท ณ สถานที่และในวันเวลาใช้เงิน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินจำนวน 1,683,996.28 บาท และดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 234,463.93 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,200 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2547 โจทก์สั่งซื้อสินค้าแผ่นวัสดุทำจากขี้เลื่อยราคา 41,213.81 ดอลลาร์สหรัฐ จากผู้ขายในประเทศมาเลเซียจำนวน 7 รายการ เพื่อใช้ในการติดตั้งที่โรงแรมของโจทก์ เลขที่ 106/46 หมู่ที่ 3 ตำบลเชิงทะเล อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โจทก์ว่าจ้างให้จำเลยเป็นผู้ขนสินค้าโดยรถยนต์บรรทุกจาประเทศมาเลเซียมายังจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2547 ในระหว่างการขนส่งสินค้าดังกล่าวจากประเทศมาเลเซียมายังประเทศไทย รถที่บรรทุกสินค้าเกิดอุบัติเหตุในประเทศมาเลเซีย ทำให้สินค้าพิพาทเสียหาย และโจทก์ไม่ได้รับสินค้าพิพาทตามกำหนด
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่าจะนำบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาปรับใช้กับคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า การรับขนของในคดีนี้เป็นการรับขนของทางบกระหว่างประเทศ ก็เข้าลักษณะของการรับขนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 8 ว่าด้วยการรับขนและตามบัญญัติว่าด้วยการรับขนดังกล่าวก็ไม่ได้บัญญัติเป็นการยกเว้นไว้ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 4 บัญญัติให้การรับขนของทางทะเลระหว่างประเทศอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 ดังนั้น จึงไม่อาจนำบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาปรับใช้กับคดีนี้ซึ่งเป็นการขนส่งสินค้าทางบกระหว่างประเทศได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางใช้บัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 8 ว่าด้วยการรับขนปรับแก่คดีนี้จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด เห็นว่า แม้ได้ความว่าสินค้ามีราคาตามที่สั่งซื้อกันเป็นเงิน 41,213.81 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัญหาว่าสินค้าดังกล่าวเสียหายทั้งหมดหรือไม่ หากเสียหายไม่หมดยังมีมูลค่าเหลือเพียงใด นั้น โจทก์มีเพียงนางสาวพรพธู รูปจำลอง ให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและเบิกความลอยๆ ว่าสินค้าเสียหายทั้งหมด โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ทั้งที่อย่างน้อยที่สุดน่าจะมีการสำรวจความเสียหายหรือภาพถ่ายความเสียหายและทำรายงานความเสียหายไว้ อันเป็นลักษณะปกติที่กระทำกันเมื่อเกิดความเสียหายจากการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศนอกจากนี้ตามเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งเป็นเอกสารแสดงการโต้ตอบระหว่างโจทก์และจำเลยหลังเกิดเหตุ ก็ได้ปรากฏข้อความซึ่งฝ่ายโจทก์ไม่เคยโต้แย้งฝ่ายจำเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เลยว่า หลังเกิดเหตุโรงงานผู้ผลิตได้นำสินค้าทั้งหมดกลับเข้าโรงงานเพื่อตรวจสอบความเสียหายและทำการซ่อมแซมสินค้า พฤติการณ์แห่งคดีจึงน่าเชื่อว่าสินค้าที่เสียหายสามารถซ่อมแซมได้ และเห็นว่าความเสียหายของโจทก์น่าจะมีเพียงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและค่าใช้จ่ายในการจัดการรับส่งสินค้าที่ซ่อมแซมเท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้น โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ได้ความชัดเจน แต่เชื่อได้ว่ามีค่าเสียหายส่วนนี้จริง จึงเห็นควรกำหนดให้กึ่งหนึ่งของราคาสินค้า จำนวน 41,213.81 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเท่ากับ 20,606.90 ดอลลาร์สหรัฐ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียงจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์มาด้วยว่า โจทก์ไม่ได้เอาประกันภัยความเสียหายของสินค้าในระหว่างการขนส่งถือเป็นการกระทำที่มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วยนั้น เห็นว่า การเอาประกันหรือไม่เอาประกันภัยในสินค้าของโจทก์เป็นสิทธิของโจทก์ไม่เกี่ยวพันใดๆ กันกับการเกิดความเสียหายของสินค้าจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าด้วย อุทธรณ์ของจำเลยในเรื่องค่าเสียหายฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,606.90 ดอลลาร์สหรัฐแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยจะชำระเป็นเงินบาทให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่มีการใช้เงิน ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันที่มีการใช้เงินแต่ต้องไม่เกินอัตรา 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 40.86 บาท ให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ