คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 แจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจว่า โฉนดที่ดินที่ตนเองมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ได้สูญหายไป แล้วนำสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกใบแทนโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น แม้ข้อความที่จำเลยที่ 1 แจ้งจะเป็นความเท็จ เพราะความจริงโฉนดที่ดินอยู่ที่โจทก์ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 กระทำต่อเจ้าพนักงาน มิได้กล่าวพาดพิงไปถึงโจทก์ อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง สิทธิของโจทก์หากจะพึงมีพึงเป็นอย่างไรในที่ดินแปลงนั้นในฐานะหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ก็คงมีอยู่ตามเดิมมิได้ถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ยังคงมีสิทธิเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินในฐานะหุ้นส่วนและมีสิทธิว่ากล่าวแก่จำเลยที่ 1 ในฐานะหุ้นส่วนได้เช่นเดิม โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ
จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยยกคำฟ้องของโจทก์ขึ้นกล่าวเพียงว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาท หลังจากนั้นก็กล่าวอ้างถึง ป.พ.พ. มาตรา 1012 และ มาตรา 1363 และทางนำสืบของโจทก์เท่านั้น โดยมิได้ฎีกาคัดค้านว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 อย่างไรฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
ฟ้องโจทก์บรรยายการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และฐานร่วมกันยักยอกรวมกันมาในข้อเดียวกันคือ ข้อ ค. โดยมิได้บรรยายฟ้องแยกแยะการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ให้ปรากฏชัดแจ้งพอที่จะเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้องข้อ ค. ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานยักยอกเป็นสองกรรมเกินจากที่กล่าวในฟ้องหาได้ไม่ ขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นสองกรรมจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 267, 352, 358 และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 145,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 352 (ที่ถูก 352 วรรคแรก), 358 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานแจ้งความเท็จ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ จำคุก 2 เดือน ฐานยักยอก จำคุก 1 เดือน ฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 1 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 5 เดือน และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาทรัพย์จำนวน 72,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานยักยอก ให้ปรับกระทงละ 2,000 บาท อีกสถานหนึ่ง รวมปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือนต่อครั้ง เป็นเวลา 1 ปี กับให้จำเลยที่ 1 ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 1 เห็นสมควรมีกำหนด 10 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานและคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน (สูญหาย) จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้นางสาวกัญญาพัชร แจ้งความว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 9165 ตำบลหายยา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สูญหายไป และขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าว ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 แจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 9165 ตำบลหายยา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ได้สูญหายไป แล้วนำสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกใบแทนโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 แม้ข้อความที่จำเลยที่ 1 แจ้งจะเป็นความเท็จเพราะความจริงโฉนดที่ดินอยู่ที่โจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 กระทำต่อเจ้าพนักงาน มิได้กล่าวพาดพิงไปถึงโจทก์ อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง หลักฐานในใบแทนโฉนดที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินออกให้แก่จำเลยที่ 1 คงมีรายการสาระสำคัญเช่นเดียวกับโฉนดที่ดินที่ถูกยกเลิกไป สิทธิของโจทก์หากจะพึงมีพึงเป็นอย่างไรในที่ดินแปลงนั้นในฐานะหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ก็คงมีอยู่ตามเดิมมิได้ถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ยังคงมีสิทธิเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินในฐานะหุ้นส่วนและมีสิทธิว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 ในฐานะหุ้นส่วนได้เช่นเดิม โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ศาลชั้นต้นรับเฉพาะฎีกาที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 รื้อถอนบ้านไม้เลขที่ 156/1 และนำไม้ที่ได้จากการรื้อถอนไปเป็นค่าแรงในการรื้อถอนนั้นเพราะจำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 จึงไม่มีเจตนาทุจริต และการที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเป็นการจัดการตามสิทธิที่จำเลยที่ 1 พึงมีในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมไม่ถือเป็นการขัดต่อสิทธิโจทก์ที่มีในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 พัฒนาที่ดินพิพาทย่อมทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น สิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 1 สร้างในที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นส่วนควบกับที่ดิน โจทก์ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทและอาคารหลังใหม่ด้วย จึงเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายในทางอาญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ในการวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวศาลฎีกาต้องย้อนไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวหรือไม่ จำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตหรือไม่ และจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของรวมมีสิทธิรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทและนำไปขายให้แก่ผู้อื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 5 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้าง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานยักยอกและฐานทำให้เสียทรัพย์กระทงละ 1 เดือน ซึ่งโทษจำคุกไม่เกินสองปี และศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ให้ลงโทษปรับกระทงละ 4,000 บาทด้วย ซึ่งเป็นการลงโทษปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทและรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ แม้จะเป็นการพิพากษาแก้ไขมาก แต่ก็ไม่เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยยกคำฟ้องของโจทก์ขึ้นกล่าวเพียงว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาท หลังจากนั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ก็กล่าวอ้างถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 และมาตรา 1363 และทางนำสืบของโจทก์เท่านั้น โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกาคัดค้านว่าฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 อย่างไร ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นปัญหาของกฎหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง ฟ้องโจทก์บรรยายการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และฐานร่วมกันยักยอกรวมกันมาในข้อเดียวกันคือข้อ ค. โดยการกระทำที่บรรยายฟ้องในข้อดังกล่าว โจทก์มิได้บรรยายฟ้องแยกแยะการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ให้ปรากฏชัดแจ้งพอที่จะเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้องข้อ ค. ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานยักยอกเป็นสองกรรมเกินจากที่ได้กล่าวในฟ้องหาได้ไม่ เพราะเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานยักยอกเป็นสองกรรมจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานยักยอกและฐานทำให้เสียทรัพย์ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share