แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่ทำคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งมายื่นใหม่ภายใน 15 วัน ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอไว้สั่งหลังจากศาลได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ก่อน คำสั่งดังกล่าวมิใช่คำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของจำเลยทั้งสี่แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2541 ขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของจำเลยทั้งสี่ที่ได้ยื่นต่อศาลชั้นต้นไว้แล้วเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยืนยันตามคำสั่งที่ให้รอการไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาไว้ก่อนเท่านั้น หาได้มีผลเป็นการยกคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ที่จำเลยทั้งสี่ได้ยื่นไว้แต่เดิม อันจะทำให้จำเลยทั้งสี่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้ทันทีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 228 แต่อย่างใดไม่ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 182,586,877.40 บาท และ 15,947,187.73 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน
จำเลยทั้งสี่ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาทรวม 173 ฉบับ พร้อมจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งและได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ยึดไว้มาวางต่อศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ว่า คำร้องขอแก้เพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่อ่านไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจให้จำเลยทั้งสี่ทำคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งมายื่นใหม่ให้เรียบร้อยภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ ส่วนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาที่จำเลยทั้งสี่ยื่นในวันนี้ ให้รอไว้สั่งหลังจากมีคำสั่งในเรื่องคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่แล้ว จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ คำสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งและยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่ทำคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งมายื่นใหม่ภายใน 15 วัน ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอไว้สั่งหลังจากศาลได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ก่อน คำสั่งดังกล่าวมิใช่คำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของจำเลยทั้งสี่แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2541 ขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของจำเลยทั้งสี่ ที่ได้ยื่นต่อศาลชั้นต้นไว้แล้วเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยืนยันตามคำสั่งที่ให้รอการไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาไว้ก่อนเท่านั้น หาได้มีผลเป็นการยกคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ที่จำเลยทั้งสี่ได้ยื่นไว้แต่เดิม อันจะทำให้จำเลยทั้งสี่มีสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 แต่อย่างใดไม่ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสี่ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนโจทก์