คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บันทึกคำให้การชั้นสอบสวน และคำเบิกความในอีกคดีหนึ่ง ของผู้เสียหายซึ่งมิได้มาเบิกความในคดีนี้เพราะถึงแก่กรรมเสียก่อน เป็นพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ต้องมีพยานอื่นมาสนับสนุนจึงจะฟัง ลงโทษจำเลยได้ ส่วนบันทึกคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของ ด. ในคดีที่ด.ถูกฟ้องเป็นจำเลยซึ่งด. ให้การว่าจำเลยมีส่วนร่วมมือยิงผู้เสียหายด้วยนั้น นอกจากจะเป็นพยานบอกเล่าแล้ว ยังเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดร่วมกับจำเลยด้วย เมื่อ ด. มิได้มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้ จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านบันทึกคำให้การดังกล่าว จึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ยังมี ข้อน่าระแวงสงสัยต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลย เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในความผิดสองฐานนี้ได้ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันกับความผิดฐานพยายามฆ่า.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายแดง สุริยา ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษไปแล้วร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองสั้นชนิดประกอบเองไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวยิงนายสวัสดิ์ ใจอ่อน โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนกระสุนปืนถูกบริเวณชายโครงด้านขวาไม่ถูกอวัยวะสำคัญนายสวัสดิ์จึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83,91, 289, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 371, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ให้เรียงกระทงลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 80 ประกอบกับมาตรา 52(1) ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิอันเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและข้อหาพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในแต่ละข้อหาไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา218 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามข้อหาทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามบทมาตราดังกล่าว ส่วนปัญหาว่าจำเลยได้ร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ นายแดงน้องชายจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายโดยเจตนาฆ่า คดีมีปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับนายแดงใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายด้วยหรือไม่ โจทก์นำสืบเป็นทำนองว่า จำเลยหลอกพาผู้เสียหายไปให้นายแดงใช้อาวุธปืนยิงเพราะจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองอยู่กับผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ได้มาเป็นพยานเบิกความเพราะถูกผู้อื่นใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่กรรมเสียก่อน โจทก์คงมีบันทึกคำให้การผู้เสียหายชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.2 และสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 648/2530 ของศาลชั้นต้นที่นายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายอ้างส่งศาลเป็นพยานผู้เสียหายได้ให้การไว้ในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวและเบิกความไว้ในคดีดังกล่าวว่า เมื่อจำเลยพาผู้เสียหายออกมานอกบ้านงานมาพบนายแดงตรงที่เกิดเหตุหลังจากจำเลยแนะนำให้ผู้เสียหายรู้จักกับนายแดงแล้ว นายแดงได้ชักอาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดเห็นว่าบันทึกคำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายในคดีดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ต้องมีพยานอื่นมาสนับสนุนจึงจะฟังลงโทษจำเลยได้ ส่วนบันทึกคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของนายแดงในคดีที่นายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย ซึ่งนายแดงได้ให้การพาดพิงว่าจำเลยมีส่วนร่วมมือยิงผู้เสียหายด้วยนั้น นอกจากจะเป็นพยานบอกเล่าแล้วยังเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดร่วมกับจำเลยด้วยเมื่อนายแดงมิได้มาเป็นพยานเบิกความสนับสนุน จำเลยไม่มีโอกาสได้ซักค้าน บันทึกคำให้การของนายแดงดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน้อยมากสำหรับพยานอื่นของโจทก์มีนายกิตติศักดิ์ ดุลยชาติ มาเบิกความยืนยันว่าหลังจากเห็นจำเลยพาผู้เสียหายออกไปจากบ้านงานประมาณ10 นาที จึงได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ตรงกันกับที่พยานปากนี้เบิกความไว้ในคดีที่นายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย ส่วนนายชำนาญ ไสยประจงพยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเบิกความว่าเห็นจำเลยพาผู้เสียหายออกไปจากบ้านงานเช่นเดียวกับนายกิตติศักดิ์แล้ว ยังเบิกความว่าเห็นขณะที่นายแดงใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายด้วย แต่ในคดีที่นายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย นายชำนาญไม่ได้เบิกความว่าเห็นนายแดงใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเช่นในคดีนี้ เหตุใดนายชำนาญจึงเบิกความถึงเหตุการณ์เดียวกันแต่แตกต่างกันดังกล่าวไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์คำเบิกความของนายชำนาญจึงไม่น่าเชื่อถือ ส่วนคำเบิกความของนายกิตติศักดิ์ที่ว่าเห็นจำเลยพาผู้เสียหายออกไปจากบ้านงานเมื่อฟังประกอบกันกับบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเอกสารหมาย จ.2 คงฟังได้เพียงว่าจำเลยพาผู้เสียหายออกจากบ้านงานไปพบนายแดงตรงที่เกิดเหตุ เมื่อแนะนำให้รู้จักกันแล้วผู้เสียหายก็ถูกนายแดงใช้อาวุธปืนยิงเอาเท่านั้น ไม่มีพฤติการณ์ของจำเลยนอกเหนือมากไปกว่านี้ ที่ผู้เสียหายให้การไว้ในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.2 ก็ดี และที่ผู้เสียหายเบิกความไว้ในคดีที่นายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลยก็ดี ผู้เสียหายก็ให้การและเบิกความว่าระหว่างที่เดินไปกับจำเลย จำเลยเพียงพูดเป็นทำนองว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้ผู้เสียหายขอเงินนางวาสนาภริยาจำเลยมากนักเท่านั้น ที่จำเลยทะเลาะกับผู้เสียหายแล้วพาบุตรภริยาออกจากบ้านไปอยู่เสียที่อื่นก็ไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่าเหตุที่ทะเลาะกันนั้นรุนแรงถึงขนาดทำให้จำเลยโกรธเคืองถึงกับคิดจะฆ่าผู้เสียหายหรือไม่นางบัวใส ใจอ่อน พยานโจทก์ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายก็เบิกความว่าจำเลยกับผู้เสียหายรักใคร่กันดีประกอบกับยังได้ความจากคำเบิกความของนางบัวใสอีกว่า ผู้เสียหายไม่มีงานทำชอบดื่มสุรา เล่นการพนันเมื่อขอเงินแล้วไม่ให้ก็มักจะถูกผู้เสียหายทำร้าย ดังนี้ที่จำเลยพาบุตรภริยาไปอยู่เสียที่อื่นก่อนเกิดเหตุอาจจะเกิดจากความเบื่อหน่ายในความประพฤติดังกล่าวของผู้เสียหายก็เป็นได้ และที่จำเลยพาผู้เสียหายออกมาจากบ้านงานในคืนวันเกิดเหตุอาจจะเพียงเพื่อมาพูดว่ากล่าวตักเตือนผู้เสียหายเท่านั้น เพราะไม่ได้ความว่าจำเลยได้ลงมือทำร้ายผู้เสียหายด้วย เมื่อกรณียังฟังได้ไม่ถนัดว่าจำเลยโกรธเคืองผู้เสียหายถึงขนาดคิดจะฆ่า ที่นายแดงใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงอาจจะกระทำไปโดยพลการเพราะเจ็บแค้นแทนจำเลยซึ่งเป็นพี่ชายโดยจำเลยมิได้มีส่วนร่วมคบคิดกันมาก่อนก็เป็นได้พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อน่าระแวงสงสัยประกอบกับที่เจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมจำเลยได้ล่าช้าหลังเกิดเหตุนานเกือบ 2 ปี ก็ไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยหลบหนี ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลยและเมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในความผิดสองฐานนี้ได้ด้วยเพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันกับความผิดฐานพยายามฆ่า…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share