คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7218/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย และชำระค่าที่ดินให้จำเลยครบถ้วนแล้วจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่วันทำสัญญาแต่ที่ดินพิพาทเป็นของ ผ. และ ผ. ได้แจ้งความกล่าวหาว่าคนงานของโจทก์บุกรุกที่ดินพิพาท ดังนี้เป็นกรณีที่ ผ. มาก่อการรบกวนสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อในอันจะครองที่ดินพิพาทเป็นปกติสุข เพราะ ผ. มีกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินพิพาทอยู่ในเวลาที่โจทก์ซื้อจากจำเลยจึงเป็นการรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 475 เมื่อโจทก์มิได้รู้ในเวลาซื้อขายว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ผ. และจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิทธิของโจทก์ได้สูญไปโดยความผิดของโจทก์เอง จำเลยจึงต้องรับผิดคืนเงินค่าที่ดินพิพาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
หลังจากที่โจทก์ถูก ผ. อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ผ. และถูกแจ้งความดำเนินคดีโจทก์ยอมตามที่ ผ. เรียกร้อง โดยจะไม่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีก แต่เมื่อการที่โจทก์ยินยอมตามที่ ผ. เรียกร้อง เพราะคนงานของโจทก์จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาและมีโทษถึงจำคุกได้ การยอมของโจทก์ดังกล่าวจึงมิได้เกิดขึ้นโดยความสมัครใจ และไม่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ขายจึงไม่อยู่ภายในบังคับอายุความ 3 เดือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 และมิใช่กรณีโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้ แต่อยู่ภายในบังคับอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินตาม ภ.บ.ท. 5 จากจำเลย ได้ชำระค่าที่ดินครบถ้วนและจำเลยส่งมอบที่ดินให้โจทก์แล้ว ต่อมานางเผอิญพบ โต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อมาตั้งอยู่ในที่ดินมีโฉนดของนางเผอิญพบ โจทก์จึงขอเงินค่าที่ดินจากจำเลย จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 529,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 494,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ผิดสัญญาไม่ต้องคืนเงินแก่โจทก์ และโจทก์มาฟ้องเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้เมื่อพ้นกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 494,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2539 ซึ่งเป็นวันฟ้องคำนวณให้ไม่เกิน 35,500 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลบางนอน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง จากจำเลยราคา 494,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ชำระค่าที่ดินให้จำเลยครบถ้วนแล้ว และจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญา มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยต้องคืนเงินค่าที่ดินตามฟ้องให้โจทก์เพราะมีบุคคลภายนอกรอนสิทธิในที่ดินหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และนายบุญธรรม เลิศไกร พยานโจทก์เบิกความตรงกันว่า หลังจากโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ จากจำเลยแล้ว โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถที่ดินพิพาท แต่นายบุญเลิศ ลิ่มตั้ง ญาติของนางเผอิญพบ ลิ่มตั้ง ไปแจ้งความกล่าวหาว่าคนงานของโจทก์ที่นำรถแทรกเตอร์ไปไถบุกรุกที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7167 ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ของนางเผอิญพบ ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.1 โจทก์จึงไปตรวจสอบหลักฐานที่เป็นเอกสารแล้วปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของนางเผอิญพบจริง จำเลยนำสืบเพียงว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายสมมิตร น้อยลาภ ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ล.3 แต่ปรากฏตามเอกสารดังกล่าวว่าจำเลยซื้อมาเพียงประมาณ 2 ไร่ เท่านั้น ข้ออ้างของนางเผอิญพบที่อ้างต่อโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้ว่าเป็นความจริงและถือได้ว่านางเผอิญพบมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อในอันจะครองที่ดินพิพาทเป็นปกติสุขเพราะนางเผอิญพบมีกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินพิพาทอยู่ในเวลาที่โจทก์ซื้อจากจำเลย จึงเป็นการรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 และโจทก์มิได้รู้ในเวลาซื้อขายว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินนางเผอิญพบ ทั้งจำเลยในฐานะผู้ขายพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิทธิของโจทก์ได้สูญไปโดยความผิดของโจทก์เองจำเลยจึงต้องรับผิดคืนเงินค่าที่ดินพิพาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2538 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในข้อนี้ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องรับผิดในผลการรอนสิทธิแล้ว จำเป็นจะต้องวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ต่อไป แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยก่อนเห็นว่า แม้นายบุญธรรม เลิศไกร พยานโจทก์จะเบิกความว่า เมื่อทนายความของนางเผอิญพบแจ้งว่าที่ดินพิพาททับที่ดินมีโฉนดที่ดินของนางเผอิญพบและได้แจ้งความกล่าวหาว่าพยานกับพวกบุกรุกที่ดินพิพาท จึงได้ตกลงกันโดยให้โจทก์รื้อถอนและไม่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แล้วนางเผอิญพบจะไม่เอาเรื่องกรณีบุกรุกและโจทก์รับในฎีกาว่า ภายหลังที่โจทก์ถูกแจ้งความดำเนินคดี และตัวแทนของโจทก์ตกลงกับนางเผอิญพบว่าจะไม่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีก หลังจากนั้นโจทก์ไม่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกเลย แต่เหตุที่โจทก์ยอมตามที่นางเผอิญพบเรียกร้องเพราะคนงานตัวแทนของโจทก์ถูกนางเผอิญพบแจ้งความกล่าวหาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทและถ้าโจทก์ไม่ยอมตามที่นางเผอิญพบเรียกร้อง คนงานของโจทก์จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาและมีโทษถึงจำคุกได้ การยอมของโจทก์ดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นโดยความสมัครใจและไม่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ขายจึงไม่อยู่ภายในบังคับอายุความ 3 เดือน ตามมาตรา 481 และมิใช่กรณีโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้ แต่อยู่ภายในบังคับอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share