คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองกับพวก ทั้งก่อนยิงผู้ตายและหลังยิงผู้ตาย ประกอบกับข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับพวกได้เรียกค่าคุ้มครองการทำไม้จากผู้ตายแต่ผู้ตายไม่ยอมให้ เชื่อ ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้มีการสมคบกันที่จะฆ่าผู้ตาย และอีกประการหนึ่งถ้า หากจำเลยทั้งสองไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการที่พวกของจำเลยยิงผู้ตายจริงแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองเห็นพวกของตนใช้อาวุธปืนของกลางซึ่งทางราชการมอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ยิงผู้ตายเช่นนั้น จำเลยทั้งสองก็น่าจะรีบแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกอาสาสมัครรักษาดินแดน และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิด ก็ยิ่ง จะต้องแจ้งเหตุต่อพนักงานสอบสวนโดยเร็วแต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้แจ้งเหตุแต่กลับนำอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายไปทำความสะอาดลำกล้องเพื่อทำลายพยานหลักฐานเช่นนี้จึงเชื่อ ว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกับพวกของจำเลยฆ่าผู้ตายจริงตามโจทก์ฟ้อง แม้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางจะเป็นของทางราชการที่มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ซึ่งเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในความครอบครองก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้สมคบกับจำเลยที่ 1 และพวกของจำเลยนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปฆ่าผู้ตาย ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ได้ร่วมครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวด้วยอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีไว้ในความครอบครองโดยไม่มีสิทธิที่จะครอบครองได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ก็ย่อมมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครอง จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับพวกและจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเดินทางไปกับจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวและเป็นผู้มีสิทธิที่จะพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะได้เช่นนี้จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะนั้น ความผิดฐานนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปีโดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1และพวกที่จะนำอาวุธดังกล่าวไปฆ่าผู้ตาย จึงถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 334, 335, 371, 33, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ, 55, 72 ทวิ, 78พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับ 7) พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 8 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 3 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 7กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 ริบปลอกกระสุนปืนเล็กกล ขนาด .223 จำนวน 1 ปลอก ส่วนอาวุธปืนเล็กกล (แบบเอ็ม 16)ขนาด .223 หมายเลขประจำปืน 9546135 จำนวน 1 กระบอก และนาฬิกาข้อมือยี่ห้อซันดอร์ดหรือแซนด๊อซ จำนวน 1 เรือน คืนเจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4,8 ทวิ วรรคสอง, 72 ทวิ วรรคสอง คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 7 กฎกระทรวง ฉบับที่ 11(พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ลงวันที่1 กรกฎาคม 2522 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335(7) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 55, 38 (ที่ถูกเป็นมาตรา 78) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 มาตรา 6,8 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 3 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำเลยทั้งสองกระทำโดยอุกอาจใช้อาวุธปืนเล็กกลซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงของทางราชการยิงผู้ตาย อาวุธปืนของกลางทางราชการมอบให้จำเลยที่ 1ไว้ประจำกาย แต่จำเลยที่ 1 กลับใช้อาวุธปืนดังกล่าวมากระทำผิดเสียเองสมควรลงโทษสถานหนัก วางโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยซึ่งเป็นกรรมเดียวกันกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง และ 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 2 ยังมีความผิดฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 ปี ฐานลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำคุกตลอดชีวิต เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจนำโทษในกระทงอื่นมารวมกับโทษในข้อหานี้ได้ คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตสถานเดียว ริบปลอกกระสุนปืนเล็กกล ขนาด .223 จำนวน 1 ปลอก คืนอาวุธปืนเล็กกล (แบบเอ็ม 16) ขนาด .223 หมายเลขประจำปืน 9546135 จำนวน1 กระบอก และนาฬิกายี่ห้อซันดอร์ดหรือแซนด๊อซ จำนวน 1 เรือน แก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ฐานพาอาวุธปืน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา8 ทวิ วรรคหนึ่ง (ที่ถูกเป็นวรรคสอง), 72 ทวิ วรรคสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 1 คน ได้นั่งรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับไปยังที่เกิดเหตุ พบผู้ตายกำลังนั่งจดบัญชีรายการไม้อยู่ในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 หยุดรถ แล้วพวกของจำเลยได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาวินิจฉัยจึงอยู่ที่ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกับพวกของจำเลยในการฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีนายประเทืองและนางไสวบิดามารดาของผู้ตายเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 10 วัน ผู้ตายมาบอกแก่พยานว่า จำเลยทั้งสองกับนายนุกูลได้ขอค่าคุ้มครองการทำไม้จากผู้ตาย ผู้ตายไม่ยอมให้ขอให้นายประเทืองช่วยไปพูดกับนายดุษฎี ศรีประพันธ์ ปลัดอำเภอซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ให้ช่วยห้ามปรามด้วย และมีสิบตำรวจโทมงคล ทองคำ เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน พยานเห็นจำเลยที่ 1กับพวกอีก 1 คน ขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านของผู้ตาย จำเลยทั้งสองต่อสู้คดีว่า พวกของจำเลยเพียงแต่ขออาศัยรถของจำเลยที่ 1 ไปด้วยในขณะที่จำเลยที่ 1 จะกลับไปที่ฐานปฏิบัติการอาสาสมัครรักษาดินแดนระหว่างทางพบผู้ตาย พวกของจำเลยบอกให้หยุดรถแล้วยิงผู้ตาย โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นด้วย พิเคราะห์ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ก่อนที่จำเลยทั้งสองกับพวกจะขับรถจักรยานยนต์ไปพบผู้ตายนั้น จำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวได้ร่วมดื่มสุรากันที่ร้านค้าของนายห้วน เสร็จแล้วจึงพากันขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปฐานปฏิบัติการอาสาสมัครรักษาดินแดน โดยจำเลยที่ 1 ให้พวกของจำเลยเป็นคนถืออาวุธปืนเอ็ม 16 ของกลาง เมื่อผ่านที่เกิดเหตุ เห็นผู้ตายนั่งจดบัญชีรายการไม้อยู่ พวกของจำเลยสั่งให้หยุดรถแล้วพวกของจำเลยยิงผู้ตายจากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกก็พากันขับรถจักรยานยนต์กลับมาที่ฐานปฏิบัติการอาสาสมัครรักษาดินแดน ซื้อสุรามาดื่มกันอีกแล้วทั้งสามคนได้นอนค้างคืนที่บ้านพักของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ติดกับฐานปฏิบัติการดังกล่าว เช้าวันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 และพวกของจำเลยต่างแยกย้ายกันกลับไป ดังปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองในเอกสารหมาย จ.20 และ จ.21 แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองกลับเบิกความว่าจำเลยที่ 1 พบพวกของจำเลยระหว่างทางพวกของจำเลยจึงขออาศัยรถมาด้วยต่อมาเมื่อมาเติมน้ำมันที่ร้านค้านายห้วนก็พบจำเลยที่ 2 และขออาศัยรถไปด้วยเช่นกัน แล้วทั้งสามก็ขับรถจักรยานยนต์ไปโดยจำเลยที่ 1เป็นคนสะพายอาวุธปืนเอ็ม 16 ระหว่างทางเมื่อพบผู้ตาย พวกของจำเลยก็บอกให้หยุดรถแล้วพวกของจำเลยก็กระชากอาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 สะพายอยู่ออกมาแล้วยิงผู้ตาย เมื่อยิงแล้วพวกของจำเลยได้ทิ้งอาวุธปืนไว้แล้ววิ่งหลบหนีไป ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองดังกล่าวแล้ว ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองจึงมีพิรุธไม่มีน้ำหนักรับฟัง จากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองในเอกสารหมาย จ.20และ จ.21 ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบโต้แย้งว่าเป็นคำให้การที่ไม่ชอบแต่อย่างใด ฟังได้ว่าก่อนที่จำเลยทั้งสองกับพวกจะไปยิงผู้ตายจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมดื่มสุรากันก่อน และเมื่อยิงผู้ตายแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกก็พากันกลับมาที่ฐานปฏิบัติการอาสาสมัครรักษาดินแดนอีกและค้างคืนที่บ้านของจำเลยที่ 1 จนเช้าวันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 กับพวกจึงได้แยกย้ายกันไป เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองกับพวกทั้งก่อนยิงผู้ตายและหลังยิงผู้ตายประกอบกับข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับพวกได้เรียกค่าคุ้มครองการทำไม้จากผู้ตายแต่ผู้ตายไม่ยอมให้แล้วเชื่อว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้มีการสมคบกันที่จะฆ่าผู้ตาย และอีกประการหนึ่งถ้าหากจำเลยทั้งสองไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการที่พวกของจำเลยยิงผู้ตายจริงแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองเห็นพวกของตนใช้อาวุธปืนของกลางซึ่งทางราชการมอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ยิงผู้ตายเช่นนั้น จำเลยทั้งสองก็น่าจะรีบแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะของจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกอาสาสมัครรักษาดินแดนและเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดก็ยิ่งจะต้องแจ้งเหตุต่อพนักงานสอบสวนโดยเร็ว แต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้แจ้งเหตุแต่กลับนำอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายไปทำความสะอาดลำกล้องเพื่อทำลายพยานหลักฐานเช่นนี้ จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกับพวกของจำเลยฆ่าผู้ตายจริงตามโจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางจะเป็นของทางราชการที่มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ซึ่งเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในความครอบครองก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความดังที่วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 2 ได้สมคบกับจำเลยที่ 1 และพวกของจำเลยนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปฆ่าผู้ตายก็ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวด้วย อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ เมื่อจำเลยที่ 2มีไว้ในความครอบครองโดยไม่มีสิทธิที่จะครอบครองได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ก็ย่อมมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับพวกและจำเลยที่1 ฆ่าผู้ตาย การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเดินทางไปกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวและเป็นผู้มีสิทธิที่จะพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะได้เช่นนี้ จำเลยที่ 2ย่อมไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน และทางสาธารณะนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 และพวกที่จะนำอาวุธปืนดังกล่าวไปฆ่าผู้ตายจึงถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1และพวกที่จะนำอาวุธปืนดังกล่าวไปฆ่าผู้ตายจึงไม่ควรมีความผิดฐานนี้เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย…”
พิพากษายืน.

Share