แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ระหว่างสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ร่วมได้ความเพียงว่า โจทก์ร่วมถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในมูลคดีเดียวกันกับคดีนี้ว่าทำร้ายร่างกายจำเลยทั้งสองในคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ร่วมแล้ว คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยอมรับว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลยในคดีนี้ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ในคดีที่โจทก์ร่วมถูกฟ้องก็ยังมิได้ชี้ขาดว่าเป็นเรื่องวิวาททำร้ายร่างกายกันจริงหรือไม่และคดียังไม่ถึงที่สุดประกอบกับในคดีนี้โจทก์ก็บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคือโจทก์ร่วมเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นที่ยุติว่าโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายกับจำเลย เมื่อไม่ได้ความชัดเช่นนี้ จึงยังไม่สมควรด่วนวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นนี้เสียก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันตบตีและผลักนางสาวมาลี สินประเสริฐศรี ผู้เสียหายจนล้มลง แล้วกระทืบบริเวณลำตัวและแขนของผู้เสียหายเป็นเหตุให้กระดูกแขนซ้ายหักได้รับอันตรายถึงสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นางสาวมาลี สินประเสริฐศรี ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยคัดค้านว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องโจทก์ร่วมเป็นจำเลยตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 594/2532 ของศาลชั้นต้น ในข้อหาว่าทำร้ายร่างกายจำเลยทั้งสองคดีนี้ ซึ่งทั้งสองคดีเป็นกรณีเดียวกัน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษโจทก์ร่วมไปก่อนแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2425/2532ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมเสีย จำเลยทั้งสองจึงขอให้การใหม่เป็นให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83 จำคุกคนละ 6 เดือนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 เดือนจำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อที่ว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายมีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ ส่วนอุทธรณ์ข้อที่ว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยเบาไปนั้น ศาลมิได้อนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วม จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ในข้อหลัง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ในข้อหลังแล้วพิพากษายืน โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาข้อแรกว่าโจทก์ร่วมมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือไม่ ได้ความว่าโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2532ศาลชั้นต้นอนุญาตและสืบตัวโจทก์ร่วมในวันดังกล่าวในฐานะพยานโจทก์ได้ 1 ปาก แล้วเลื่อนคดีไป ต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม 2532 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหาย เพราะถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลย อันเนื่องมาจากมูลกรณีเดียวกับคดีนี้โดยฟ้องว่า โจทก์ร่วมทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่าโจทก์ร่วมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 594/2532 หมายเลขแดงที่ 2425/2532 ของศาลชั้นต้นโจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ได้ ขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2532 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ต่อศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ร่วมเกี่ยวกับคดีที่โจทก์ร่วมถูกฟ้องดังกล่าวโจทก์ร่วมแถลงว่าถูกฟ้องและศาลชั้นต้นพิพากษาไปแล้วตามคำร้องของจำเลยที่ 1 จริง แต่คดีอยู่ระหว่างโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสั่งคำร้อง ของ จำเลยที่ 1 ในนัดต่อจากนัดที่แล้วและนัดสืบพยานจำเลยด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ร่วมเป็นคู่กรณีเดียวกันกับจำเลยทั้งสองในคดีนี้ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นกรณีเดียวกันและเหตุเดียวกัน คดีนี้โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ จึงให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์โดยให้ยกคำร้อง ของ โจทก์ร่วม หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับเป็นอุทธรณ์เฉพาะข้อที่ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายมีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ตามอุทธรณ์ข้อ ก. ส่วนอุทธรณ์ผลการวินิจฉัยของศาลตามข้อ ข. ศาลมิได้อนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ในข้อ ข. โจทก์ร่วมจึงอุทธรณ์คำสั่งในข้อที่ไม่รับอุทธรณ์ในข้อ ข. ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ปัญหาว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายหรือไม่ยังไม่ถึงที่สุด หากฟังว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมย่อมอุทธรณ์ผลการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นตามอุทธรณ์ข้อ ข. ได้ ที่ศาลชั้นต้นด่วนสั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อ ข.จึงไม่ชอบ ให้รับอุทธรณ์ข้อ ข. ของโจทก์ร่วมไว้ดำเนินการต่อไปและต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่า โจทก์ร่วมยอมรับว่าตนถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 594/2532 หมายเลขแดงที่ 2425/2532 ของศาลชั้นต้น และรับว่าคดีที่ตนเป็นจำเลยกับคดีนี้เป็นกรณีเดียวกันและศาลได้พิพากษาลงโทษไปแล้ว รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 และวันที่ 25 ธันวาคม2532 นั้น กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยทั้งสองต่างทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันถือว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายจึงไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมเสียนั้นชอบแล้ว ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่อุทธรณ์ว่าไม่ควรรอการลงโทษแก่จำเลยทั้งสองนั้น เมื่อโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เสียแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมย่อมตกไปในตัว พิพากษายืน โจทก์ร่วมจึงฎีกาต่อมา
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7และ 25 ธันวาคม 2532 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ร่วมได้ความเพียงว่า โจทก์ร่วมถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในมูลคดีเดียวกันกับคดีนี้ว่าทำร้ายร่างกายจำเลยทั้งสองในคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ร่วมแล้ว คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยอมรับในคดีดังกล่าวว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลยในคดีนี้ โจทก์ร่วมแถลงตอบว่ายังอุทธรณ์อยู่ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าอุทธรณ์ในประเด็นใด เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ในคดีที่โจทก์ร่วมถูกฟ้องก็ยังมิได้ชี้ขาดว่าเป็นเรื่องวิวาททำร้ายร่างกายกันจริงหรือไม่และคดียังไม่ถึงที่สุดประกอบกับในคดีนี้โจทก์ก็บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคือโจทก์ร่วมเท่านั้นมิใช่เรื่องโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลยข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นที่ยุติว่าโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายกับจำเลย เมื่อไม่ได้ความชัดเช่นนี้ จึงยังไม่สมควรด่วนวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นนี้เสียก่อน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาในปัญหาทั้งสองประการดังกล่าวข้างต้นแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี