แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271มิได้กล่าวได้โดยแจ้งว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลใด แต่เมื่อมีการอุทธรณ์หรือฎีกา ผลของคำพิพากษาอาจจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือพิพากษาได้แล้วแต่กรณี กรณีที่มีการฎีการะยะเวลาการบังคับคดีก็ต้องนับจากวันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา แม้ในชั้นฎีกาจำเลยไม่ได้ขอทุเลาการบังคับคดีและโจทก์มีสิทธิขอบังคับคดีได้ก็เป็นคนละเรื่องกับกำหนดเวลาในการบังคับคดี กำหนดเวลาในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เป็นเรื่องระยะเวลาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับคดี แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดระยะเวลาดังกล่าว จึงไม่ใช่อายุความ ไม่อาจนำเรื่องการเริ่มนับอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 มาใช้บังคับได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2525 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารคอนกรีตกว้าง 7 เมตร ยาว 9 เมตรสูงประมาณ 3 เมตร บนอาคารเลขที่ 125/3-4 ถนนเฟื่องนครแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนได้โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2525จำเลยทั้งสองฎีกา โดยไม่ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในระหว่างฎีกาต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2527 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเมื่อวันที่7 สิงหาคม 2527 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2527โดยให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ที่ได้รับคำบังคับ ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 โจทก์โดยผู้อำนวยการเขตพระนครมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอน โจทก์จะจัดการรื้อถอนภายในวันที่ 18 พฤษภาคม 2537
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้งดการบังคับคดีอ้างว่าโจทก์หมดสิทธิบังคับคดีเนื่องจากขอบังคับคดีเกินกำหนด 10 ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่มีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2527 นับถึงวันยื่นคำร้องยังไม่เกิน 10 ปีจึงให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้ได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2525 แม้จำเลยทั้งสองฎีกา แต่ก็ไม่ได้ขอทุเลาการบังคับคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิขอบังคับคดีได้นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว เพราะบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ไม่ได้ระบุว่านับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลใดหรือนับแต่วันที่มีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้น มาตรา 271 บัญญัติไว้เป็นใจความว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา เห็นว่า แม้บทบัญญัติดังกล่าวมิได้กล่าวไว้โดยแจ้งชัดว่า นับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลใดก็ตาม แต่เมื่อมีการอุทธรณ์หรือฎีกา ผลของคำพิพากษาอาจจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้แล้วแต่กรณี กรณีของจำเลยทั้งสองเมื่อมีการฎีการะยะเวลาการบังคับคดีก็ต้องนับจากวันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ส่วนที่ว่าในชั้นฎีกาจำเลยทั้งสองไม่ได้ขอทุเลาการบังคับคดีและโจทก์มีสิทธิขอบังคับคดีได้ เป็นคนละเรื่องกับกำหนดเวลาในการบังคับคดี และที่จำเลยฎีกาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 บัญญัติให้นับอายุความตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่า กำหนดเวลาในการบังคับคดีเป็นเรื่องระยะเวลาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดระยะเวลาดังกล่าวจึงไม่ใช่อายุความศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน