คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องกับจำเลยทำสัญญาแบ่งทรัพย์กันภายหลังจากที่โจทก์นำยึดที่พิพาทเพียง 3 วัน ทั้งเมื่อวันที่เจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์รายนี้ ผู้ร้องก็เห็นและรู้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ สัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องและจำเลยจึงถือได้ว่ากระทำไปโดยไม่สุจริตและใช้ไม่ได้
การที่ผู้ร้องเป็นเจ้าทรัพย์พิพาทร่วมกันกับจำเลย ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมดไม่ได้จนกว่าจะได้มีการแบ่งปันกันโดยถูกต้อง การที่ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดจะต้องปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่มีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด แต่ผู้ร้องมีทางเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของร่วมได้ทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.287.

ย่อยาว

คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน ๑ แปลงนั้นเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องได้เป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินรวมทั้งที่พิพาทจากจำเลย ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๙ มิ.ย.๙๗ ให้แบ่ง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเองต่อมาวันที่ ๑๙ ต.ค.๙๗ ผู้ร้องกับจำเลยตกลงกันให้ที่ดินรวมทั้งที่พิพาทเป็นของผู้ร้องและผู้ร้องจ่ายเงินให้จำเลย ที่พิพาทจึงตกเป็นของผู้ร้องแล้ว ขอให้ศาลสั่งถอนการยึด
โจทก์ให้การว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ด้วยไม่ใช่ของผู้ร้อง จำเลยกับผู้ร้องสมคบกันทำสมยอมยกที่ดินให้ผู้ร้อง เพื่อหลีกเลี่ยงฉ้อโกงในการที่จะถูกยึดหรือถูกอายัดตามคำพิพากษาของศาล
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าผู้ร้องนำสืบได้ว่าทรัพย์พิพาทตกเป็นของผู้ร้องโดยปฏิบัติตามคำพิพากษา ผู้ร้องและจำเลยมีสิทธิร่วมกันในทรัพย์พิพาท แม้จำเลยกับผู้ร้องทำสัญญากันหลังจากที่โจทก์ยึด ก็ไม่มีอะไรห้ามไม่ให้ทำ ารที่โจทก์ยึดทรัพย์บุคคลอื่นด้วย ไม่ใช่ของจำเลยคนเดียว จึงเป็นการไม่ชอบ จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึด
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิยึดได้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ววินิจฉัยว่าการที่ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดโดยอ้างว่าเป็นของผู้ร้องตามสัญญาแบ่งทรัพย์กับจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่อโจทก์นำยึดทรัพย์ที่พิพาท ๆ นี้ยังเป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างผู้ร้องกับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ การทำสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริต เพราะภายหลังที่โจทก์นำยึดที่พิพาทเพียง ๓ วันเท่านั้น นางเหรียมผู้ร้องสู้รับว่าเมื่อวันเจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์รายนี้นางเหรียมก็เห็นและรู้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ สัญญาแบ่งทรัพย์พิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยจึงใช้ไม่ได้ ฟังได้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างผู้ร้องและจำเลย ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของร่วมด้วยจะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมดไม่ได้ เพราะกรรมสิทธิของเจ้าของร่วมแต่ละคนนั้นย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมด จนกว่าจะมีการแบ่งปันกันโดยถูกต้อง การที่ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดจะต้องปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่มีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด คดีนี้ผู้ร้องจะขอให้ถอนทรัพย์ที่ยึดไม่ได้ ผู้ร้องมีทางเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของร่วมได้ทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๒๘๗ ดังความเห็นของศาลอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share