แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าซื่อรถยนต์จากโจทก์ กำหนดชำระค่าเช่าซื้อ 19 งวด จำเลยผิดนัดชำระตั้งแต่งวดที่ 10 เป็นต้นมาเกิน 2 งวดติดต่อกัน ซึ่งตามสัญญาเช่าซื่อให้ถือว่าสัญญาเป็นอันเลิกกันตั้งแต่วันผิดนัด เมื่อมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อที่รับไว้แล้วทั้งหมด กับมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้รถยนต์ของโจทก์ตลอดระยะเวลาที่ผู้ซื้อครอบครองรถยนต์ดังกล่าวอยู่
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1195/2511)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ ๑ คันจากโจทก์ กำหนดชำระเงิน ๑๙ งวด โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระเงินตั้งแต่งวดที่ ๑๐ เป็นต้นมาเกิน ๒ งวดติดต่อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันตั้งแต่วันผิดนัดต่อมาโจทก์ยึดรถยนต์ดังกล่าวคืน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายคิดเป็นรายเดือนตั้งแต่วันที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันจนถึงวันที่โจทก์ยึดรถยนต์คืน
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและจำเลยที่ ๑ ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและส่งมอบรถยนต์คืนให้โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า สัญญาเช่าซื้อเลิกกันไปแล้วและจำเลยที่ ๑ ได้ส่งมอบรถยนต์คืนให้โจทก์ไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ ๒
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาเช่าซื้อและมิได้คืนรถยนต์แก่โจทก์จนกระทั่งโจทก์ยึดรถยนต์คืนมา แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อที่รับไว้แล้วทั้งหมด กับมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้ทรัพย์ของผู้ให้เช่าซื้อตลอดระยะเวลาที่ผู้เช่าซื้อครอบครองทรัพย์ดังกล่าวอยู่
พิพากษายืน