คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7155/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แถบบันทึกเสียงเป็นพยานวัตถุที่จำเลยทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว การที่จะให้ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามที่จำเลยนำสืบก็น่าจะได้นำเข้าถามค้านพยานโจทก์โดยเปิดเสียงเพื่อให้พยานโจทก์ที่จำเลยอ้างว่าได้บันทึกเสียงไว้ รับรองหรือปฏิเสธเสียงหรือข้อความนั้น เมื่อพยานโจทก์นั้นไม่ได้ฟังข้อความในแถบบันทึกเสียงและไม่ได้ยอมรับคำถอดข้อความที่จำเลยอ้าง แม้แถบบันทึกเสียงจะมีข้อความดังคำถอดข้อความก็ตาม ก็ไม่พอฟังเป็นยุติตามนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายและเบี้ยปรับเป็นเงิน 3,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 พฤษภาคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงในส่วนของฟ้องโจทก์ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2533 โจทก์ได้ทำสัญญากับจำเลย มีนายชัยพร กับนางสาวทัศนีย์ ลงชื่อในฐานะผู้กระทำการแทนจำเลย เป็นสัญญาที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ร้องเพลง เมื่อครบกำหนด 1 ปี จำเลยมิได้จัดให้โจทก์ร้องเพลงและมิได้ให้ผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญาแก่โจทก์ ในระหว่างระยะเวลา 1 ปี ดังกล่าว โจทก์แสดงภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือสามหนุ่มสามมุม และกลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ โดยมีเพลงประกอบภาพยนตร์ดังกล่าว จำนวน 3 เพลง และภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนั้นผู้อื่นจัดทำและแพร่ภาพทางโทรทัศน์ในทางการค้า มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือไม่ และโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งหรือไม่เพียงใด เห็นว่า พยานโจทก์จำเลยต่างยันกันอยู่ ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่ฝ่ายใดนำสืบนั้น เมื่อจำเลยอ้างแถบบันทึกเสียงเป็นพยานวัตถุ แม้ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องถอดข้อความหรือจะต้องนำเข้าถามค้านพยานอีกฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าพยานได้กล่าวถ้อยคำเช่นที่บันทึกในแถบบันทึกเสียงจริงหรือไม่ แต่การที่จะให้ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานในข้อเท็จจริงที่จำเลยประสงค์จะนำสืบก็น่าจะได้นำเข้าถามค้านพยานโจทก์โดยการเปิดเสียงเพื่อให้พยานโจทก์ที่จำเลยอ้างว่าได้บันทึกเสียงไว้ รับรองหรือปฏิเสธเสียงนั้นหรือข้อความนั้นว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงเป็นพยานหลักฐานที่จำเลยทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว แม้จำเลยจะอ้างส่งประกอบคำเบิกความของนายชัยพร พยานจำเลย และเมื่อเปิดฟังแถบบันทึกเสียงนั้นแล้ว จะมีข้อความดังคำถอดข้อความที่อ้าง จำเลยจะอาศัยพยานหลักฐานในแถบบันทึกเสียงและคำถอดข้อความดังกล่าวมาสนับสนุนพยานหลักฐานอื่นของจำเลยโดยพยานโจทก์ไม่ได้ฟังข้อความในแถบบันทึกเสียงและไม่ได้ยอมรับคำถอดข้อความที่จำเลยอ้างนั้นว่าเป็นข้อความที่บันทึกไว้ในวันเดือนปีใด และมีข้อความเช่นนั้นจริงหรือไม่ก็ไม่พอฟังเป็นยุติตามนั้นได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงิน 275,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยในส่วนของฟ้องแย้งเท่าที่จำเลยชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสามศาลรวม 10,000 บาท.

Share