แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 มิได้ห้ามนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสาร การที่ศาลให้นำสืบพยานบุคคลและรับฟังพยานบุคคลนั้น จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,152, 157, 158, 161, 162, 264, 265, 83, 68, 91 ให้ริบใบอนุญาตที่จำเลยทั้งห้ากระทำปลอมขึ้นในปี พ.ศ. 2526, 2527 เลขที่95/2526 และ เลขที่ 2/2527
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งประทับฟ้อง จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 5 เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,162 จำเลยที่ 3 ที่ 4 เฉพาะความผิดตาม มาตรา 157 ความผิดนอกนั้นไม่ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คงมีปัญหาในชั้นนี้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาได้แก่ ฎีกาข้อ 2.1 วรรคสุดท้าย ซึ่งโจทก์ฎีกาว่า ตามหนังสือบริคณห์สนธิบริษัทสุรินทรา จำกัด ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการอาบอบ นวด และคำขออนุญาตตั้งสถานบริการของทางราชการ (ส.บ.1.)กับหนังสือยินยอมของบริษัทสุรินทรา จำกัด แสดงชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นผู้ขออนุญาตตั้งสถานอาบ อบ นวด เอ็ม. เอ็ม. ในนามส่วนตัวการที่จำเลยนำพยานบุคคลเข้าสืบว่าโจทก์ขออนุญาตตั้งสถานบริการและได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสถานบริการอาบ อบ นวดเอ็ม. เอ็ม. เป็นการขออนุญาตและได้รับอนุญาตในนามของบริษัทสุรินทรา จำกัด และศาลอุทธรณ์ฟังตามพยานบุคคลดังกล่าวจึงเป็นการนำพยานบุคคลเข้าสืบ และรับฟังพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสาร ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 มิได้ห้ามนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด การที่ศาลให้นำสืบ และรับฟังพยานบุคคลดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.