แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทโดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย ถือได้ว่าไม่มีวันที่จำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คกระทำความผิด การที่จำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังเป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ตกลงกับโจทก์ร่วมในภายหลัง เป็นเพียงแต่ให้เช็คมีรายการต่างๆ สมบูรณ์ตามกฎหมายเพื่อฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 910 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง หาทำให้กลับมาเป็นความผิดทางอาญาไม่ แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ออกเช็คกับจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังร่วมกันออกเช็คนั้นก็ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2545 เวลากลางวันและวันที่ 3 มีนาคม 2545 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาลุมพินี รวม 9 ฉบับ ฉบับที่ 1 เลขที่ 8177625 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2545 ฉบับที่ 2 เลขที่ 8177655 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2545 ฉบับที่ 3 เลขที่ 8177626 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2545 ฉบับที่ 4 เลขที่ 8177648 ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2545 ฉบับที่ 5 เลขที่ 8177649 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2545 ฉบับที่ 6 เลขที่ 8177650 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2545 ฉบับที่ 7 เลขที่ 8177651 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ฉบับที่ 8 เลขที่ 8177652 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2545 และฉบับที่ 9 เลขที่ 8177653 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2545 ฉบับที่ 1 และที่ 3 สั่งจ่ายเงินฉบับละ 300,000 บาท ส่วนที่เหลือสั่งจ่ายเงินฉบับละ 310,000 บาท มอบให้แก่นายวรวิทย์ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดเรียกเก็บเงิน ผู้เสียหายนำเข้าธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งเก้าฉบับให้เหตุผลอย่างเดียวกันว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายการกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นหรือออกเช็คโดยขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็คนั้น หรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นายวรวิทย์ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (5) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลงโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 9 กระทง จำคุก 18 เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งคัดค้านกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและกรอกรายการต่างๆ ยกเว้นวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งเก้าฉบับ ส่วนจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังและลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งเก้าฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อเช็คพิพาทแต่ละฉบับถึงกำหนดโจทก์ร่วมนำไปเข้าบัญชีเพื่อให้ธนาคารเรียกเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลอย่างเดียวกันว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งแก่ธนาคารให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่า ยังตกลงเรื่องสินค้าไม่เรียบร้อยตามหนังสือลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2545 เอกสารหมาย จ.21 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเบิกความว่า โจทก์ร่วมรู้จักกับจำเลยที่ 2 มาก่อน ต่อมาจำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 1 มาให้รู้จักและแนะนำเป็นหุ้นส่วนกัน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองเดินทางมาที่บ้านโจทก์ร่วมด้วยกันแทบทุกครั้งเพื่อเลือกสินค้าไปจำหน่าย และเมื่อซื้อสินค้าไปแล้วในวันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 จะสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมโดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2545 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545 และวันที่ 3 มีนาคม 2545 จำเลยทั้งสองมาที่บ้านโจทก์ร่วมและซื้อสินค้าไปหลายรายการตามบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.24 ตามลำดับ จำเลยทั้งสองได้ชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ร่วมเป็นเช็ครวม 13 ฉบับ เช็คดังกล่าวเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 โจทก์ร่วมให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังทุกฉบับ ส่วนจำเลยทั้งสองมีตัวจำเลยทั้งสองเบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากัน แต่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวหรือเข้าหุ้นกันทำกิจการใดจำเลยที่ 2 ได้ขอยืมเช็คของจำเลยที่ 1 ไปเพื่อใช้ในการค้ำประกันการซื้อขายสินค้าของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เบิกความยืนยันว่า โจทก์ร่วมได้ชักชวนจำเลยที่ 2 นำสินค้าของโจทก์ร่วมไปขาย โดยให้จำเลยที่ 2 นำสินค้าไปขายก่อน หากขายได้ก็นำเงินมาจ่ายโจทก์ร่วม หากขายไม่ได้ให้นำสินค้ามาคืน ต่อมาโจทก์ร่วมให้จำเลยที่ 2 ไปเปิดบัญชีที่ธนาคารรัตนสิน จำกัด (มหาชน) สาขาราชปรารภ เพื่อให้จำเลยที่ 2 นำเช็คมาวางเพื่อค้ำประกันในการนำสินค้าจากโจทก์ร่วมไปจำหน่ายและโจทก์ร่วมจะนำเช็คของจำเลยที่ 2 ไปขายเพื่อหมุนเงินตามแบบขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย ล.1 ส่วนหลักฐานการซื้อขายเมื่อจำเลยที่ 2 ไปที่บ้านของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจะฉีกกระดาษให้คนละ 1 ใบ เมื่อดูสินค้าและสอบถามราคากันแล้ว ต่างฝ่ายต่างจดรายละเอียดลงในกระดาษของตนแล้วต่างคนต่างเก็บไว้ตามหลักฐานการซื้อขายเอกสารหมาย ล.4 หลังจากนั้นบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 2 ถูกปิด โจทก์ร่วมจึงให้จำเลยที่ 2 นำเช็คของผู้อื่นมาค้ำประกันก็ได้ โดยให้จำเลยที่ 2 ค้ำประกันเช็คอีกทอดหนึ่งเพราะโจทก์ร่วมต้องการนำเช็คไปขายลดเพื่อหมุนเงิน จำเลยที่ 2 จึงขอยืมเช็คจากจำเลยที่ 1 เพื่อค้ำประกันการซื้อขายสินค้ากับโจทก์ร่วม จำเลยที่ 1 มิได้เป็นหุ้นส่วนหรือมีส่วนร่วมในการซื้อขายสินค้าระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์ร่วม พฤติการณ์ในการซื้อขายในช่วงหลังโจทก์ร่วมจะโทรศัพท์มาบอกจำเลยที่ 2 ให้ไปดูสินค้าและตกลงราคากันโดยบางครั้งโจทก์ร่วมจะหาราคาสินค้าและบอกว่าต้องการเช็คกี่ฉบับ หลังจากนั้น 2 ถึง 3 วัน จำเลยที่ 2 จะไปขอยืมเช็คจากจำเลยที่ 1 ตามจำนวนที่โจทก์ร่วมต้องการ โดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 จะไปเขียนวันที่สั่งจ่ายที่บ้านของโจทก์ร่วมตามที่โจทก์ร่วมกำหนด และจำเลยที่ 2 จะลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คให้ จำเลยที่ 2 ไปที่บ้านโจทก์ร่วมเพียงผู้เดียวไม่เคยไปกับจำเลยที่ 1 เห็นว่า แม้ตามบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.24 จะระบุชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ซื้อสินค้าไป ซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ซื้อสินค้ากับโจทก์ร่วม แต่บิลเงินสดดังกล่าวเป็นหลักฐานที่โจทก์ร่วมเป็นผู้ทำขึ้นเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ปรากฏว่ามีลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในเอกสารดังกล่าว ทั้งโจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า บิลเงินสดทั้งสามฉบับเป็นของพยาน บิลเงินสดดังกล่าวมีคู่ฉบับโดยเป็นต้นฉบับ 1 ใบ และสำเนา 1 ใบ ตามปกติพยานจะให้ต้นฉบับเงินสดแก่จำเลยทั้งสองทุกครั้ง ซึ่งหากโจทก์ร่วมให้ต้นฉบับบิลเงินสดแก่จำเลยทั้งสองไปดังที่เบิกความ โจทก์ร่วมย่อมมีแต่เพียงสำเนาบิลเงินสดเท่านั้น แต่บิลเงินสดเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.24 ที่โจทก์อ้างส่งศาลเป็นต้นฉบับ ดังนั้น คำเบิกความของโจทก์ร่วมและบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.24 จึงเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้หากจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 เพื่อซื้อสินค้า จำเลยที่ 1 ก็น่าจะออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมและลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ตกลงกับโจทก์ร่วมในวันที่รับสินค้าไปจากโจทก์ร่วม ไม่น่าจะต้องออกเช็คให้ในวันรุ่งขึ้น และแม้จะออกเช็คให้ในวันรุ่งขึ้นก็น่าจะตกลงกับโจทก์ร่วมได้ว่า โจทก์ร่วมจะให้จำเลยที่ 1 ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คแต่ละฉบับในวันใดบ้าง ไม่น่าจะต้องเว้นไม่ลงวันที่สั่งจ่ายไว้เช่นนั้น ทั้งๆ ที่ได้ลงจำนวนเงินสั่งจ่ายไว้แล้ว ตามพฤติการณ์อาจเป็นไปตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า การทำหลักฐานการรับสินค้าคือต่างฝ่ายต่างทำไว้ตามเอกสารหมาย ล.4 และจำเลยที่ 2 ขอยืมเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำไปเป็นหลักประกันในการรับสินค้ามาจากโจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 1 มิได้ลงวันที่ไว้และจำเลยที่ 2 มาลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ตกลงกับโจทก์ร่วมในภายหลังก็เป็นได้ กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ซื้อสินค้าจากโจทก์ร่วมและออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นๆ ของจำเลยทั้งสอง และคำแก้ฎีกาของโจทก์ร่วมอีกต่อไปการที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทโดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายถือได้ว่าไม่มีวันที่ผู้ออกเช็คคือจำเลยที่ 1 กระทำความผิด และการที่จำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังเป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ตกลงกับโจทก์ร่วมในภายหลังก็เป็นเพียงแต่ให้เช็คมีรายการต่างๆ สมบูรณ์ตามกฎหมาย เพื่อฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 910 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง เท่านั้น หาทำให้กลับมาเป็นความผิดทางอาญาไม่ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ออกเช็คกับจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังรับรองแม้จะร่วมกันออกเช็คนั้นตามฟ้องก็ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง