คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7137/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526ถือว่าจำเลยที่1รับสภาพหนี้ต่อโจทก์เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้ววินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ทั้งยังแก้อุทธรณ์ว่าเห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยที่1ชำระเงินบางส่วนให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่14กรกฎาคม2526หาได้ไม่เพราะเป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่าในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526ถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยชำระหนี้ให้บางส่วนอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา181การนับระยะเวลาจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่12กรกฎาคม2526และครบ2ปีในวันที่11กรกฎาคม2528โจทก์ฟ้องคดีวันที่12กรกฎาคม2528จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันว่าจ้างโจทก์ให้คำปรึกษาในการออกแบบและออกแบบร่างเค้าโครงก่อสร้างศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่จำเลยทั้งสามผิดสัญญาจ้าง โจทก์มีสิทธิมีที่จะได้รับค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายและค่าทดแทนจากการบอกเลิกการจ้างระหว่างการปรับปรุงแบบก่อสร้างตามสัญญา จำเลยทั้งสามชำระให้โจทก์บางส่วนแล้ว ยังค้างชำระอยู่ 458,550 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง รวมแล้วคิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันฟ้อง16,576,052.19 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเรียกค่าจ้างทำของเลย 2 ปีแล้ว สัญญาตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นสัญญาที่นายเบอร์ทิลกับนายเฮกกิ ไซเร็น สมคบกันทำขึ้นเพื่อฉ้อโกงจำเลยทั้งสาม โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากการผิดนัดได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ตั้งสิทธิคดีนี้โดยอาศัยมูลสัญญาจ้างทำของ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีอายุความ 2 ปีจำเลยบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2526 แต่จำเลยที่ 1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2526ตามเอกสารหมาย จ.56 ถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยใช้เงินให้บางส่วนอายุความย่อมสะดุดหยุดลงโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2528 ฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยทั้งสามใช้เงินจำนวน 11,208,796 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินงวดสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2526 จำนวน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามเอกสารหมาย จ.56 ซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 12 กรกฎาคม 2528 เกินกำหนด 2 ปี คดีจึงขาดอายุความนั้นไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์บรรยายในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ครั้งสุดท้ายจำนวน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2526 และนำสืบว่าโจทก์รับเงินครั้งสุดท้ายจากจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมายจ.7 และ จ.60 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2526 คดีจึงไม่ขาดอายุความ เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2526 ตามเอกสารหมาย จ.56จึงถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยใช้เงินให้บางส่วนแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2528 ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความโจทก์มิได้อุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ ทั้งยังแก้อุทธรณ์ว่าเห็นพ้องด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้เงินบางส่วนให้โจทก์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2526 เป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้อง จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2526 ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2526 ตามเอกสารหมาย จ.56 จึงถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยใช้เงินบางส่วนให้โจทก์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2526 โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้โจทก์ครั้งสุดท้ายจำนวน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2526 หาได้ไม่ เพราะเป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่ 11กรกฎาคม 2526 ถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยชำระหนี้ให้บางส่วน อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม (มาตรา 193/14(1)ที่แก้ไขใหม่ เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 181 เดิม (มาตรา 193/15ที่แก้ไขใหม่) ส่วนการนับระยะเวลานั้น ตามมาตรา 158 เดิม(มาตรา 193/3 วรรคสองที่แก้ไขใหม่) บัญญััติว่า “ถ้าระยะเวลานับเป็นวันก็ดี สัปดาห์ก็ดี เดือนหรือปีก็ดี ท่านมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวณเข้าด้วย เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่มทำการงานกันตามประเพณี” และตามมาตรา 159 วรรคสองเดิม (มาตรา 193/5 วรรคสองที่แก้ไขใหม่)บัญญัติว่า “ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ก็ดีวันต้นแห่งเดือนหรือปีก็ดี ท่านว่าระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือนหรือปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น” ฉะนั้นตามบทบัญญัติดังกล่าวการนับระยะเวลาในคดีนี้จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม2526 เป็นวันแรก และครบกำหนด 2 ปีในวันที่ 11 กรกฎาคม 2528โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2528 จึงขาดอายุความคดีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นตามฎีกาของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษายืน

Share